อันเนื่องมาจากคำสอนของฮวงโป

หัวข้อธรรม ๔๖

ขอกล่าวถึงความเป็นไปของนิกายเซ็น โดยสังเขป

คลิกขวาเมนู

        ทางนิกายเซ็นนั้น ได้มีการบันทึกไว้ ดังในคำสอนของฮวงโป ว่าได้รับคำสั่งสอนแบบ"จิต สู่ จิต" หรือ "จิต เห็น จิต" โดยตรงจากพระพุทธเจ้า ที่ถ่ายทอดให้พระมหากศยปะ (ซึ่งทางนิกายเถรวาทก็คือ ท่านพระมหากัสสปะ) ด้วยเล็งเห็นว่ามนุษย์มีปัญญาแตกต่างกันไป อีกทั้งมอบบาตรและจีวรให้ท่าน จนกลายเป็นเครื่องหมายการมอบตำแหน่งส่งต่อกันของพระสังฆปรินายกในนิกายเซ็น  และทางนิกายเซ็นถือว่าท่านมหากศยปะ หรือพระมหากัสสปะ เป็นพระปฐมสังฆปรินายกองค์แรกของนิกายเซ็นของอินเดียหรือของโลก  และธรรมะนี้ก็ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น ด้วยวิธีจิต สู่ จิต โดยปาก สู่ ปาก ถ่ายทอดกันมาดังนี้ตลอดมา,   ส่วนท่านโพธิธรรม หรือตั๊กม้อ ซึ่งเป็นพระภิกษุชาวอินเดีย เชื่อกันว่าก่อนออกบวชท่านเป็นเจ้าชายของแว่นแคว้นหนึ่ง ไปศึกษาแสวงธรรมอยู่กับพระปรัชญาตาระเถระ ผู้เป็นพระสังฆปรินายกองค์ที่ ๒๗ แห่งนิกายเซน (ซึ่งอ้างว่าสืบตำแหน่งต่อเนื่องกันมาตั้งแต่พระมหากัสสปะในสมัยพุทธกาล)  จึงได้ยกย่องถือกันว่า พระปรัชญาตาระเถระ เป็นพระปฐมสังฆปรินายกของนิกายเซนของประเทศจีน  ต่อมาท่านโพธิธรรมได้เดินทางมาโปรดสัตว์ ณ ประเทศจีน แล้วสร้างวัดที่คนไทยรู้จักกันดีว่า วัดเสี้ยวลิ้มยี่ หรือวัดเส้าหลิน ที่มีชื่อเสียงยืยยงตราบมาจนทุกวันนี้  ท่านเป้นผู้สถาปนานิกายเซ็นขึ้นในประเทศจีน  และฝ่ายนิกายมหายาน ถือว่าท่านพระโพธิธรรมเป็นพระสังฆปรินายกองค์ที่ ๒๘ ของนิกายเซ็น ที่สืบทอดโดยตรงมาจากพระโคตมพุทธเจ้า ตั้งแต่สมัยพุทธกาล,  และนับว่าเป็นพระสังฆปรินายกองค์ที่ ๑ ของนิกายเซ็นของประเทศจีน  และต่อมานิกายเซ็นได้แพร่หลายถ่ายทอดไปยังประเทศต่างๆ เช่น ญี่ปุ่น จนเจริญรุ่งเรือง แตกกิ่งก้านไปอีกหลายนิกายหรือสำนัก เช่น นิกายรินไซเซ็น (Rinzai Zen) สำนักนี้เน้นการรู้แจ้งอย่างฉับพลันโดยอาศัยปริศนาธรรม เพื่อให้เกิดความสงสัยอย่างต่อเนื่องในจิต จนกระทั่งถึงที่สุดก็จะบรรลุสู่ความรู้แจ้งอย่างฉับพลัน กล่าวคือ การปฏิบัติธรรม กับผลที่ได้ จากการปฏิบัติธรรมเป็นคนละส่วนกัน โดยอาศัยปริศนาธรรมเป็นวิธีที่นำไปสู่การบรรลุธรรม,  นิกายโซโตเซ็น” (Soto Zen) สำนักนี้เน้นที่การปฏิบัติซาเซ็น (Zazen) หรือ การทำสมาธิเป็นสำคัญ ทั้งนี้เพื่อพัฒนาความสงบและมั่นคงแห่งจิตไปสู่การรู้แจ้ง คำสอนของสำนักโซโตเซ็นจะเน้นว่า การปฏิบัติธรรมกับผลที่ได้จากการปฏิบัติธรรมเป็นหนึ่งเดียวกัน โดยที่การปฏิบัติธรรมมิใช่ “วิธี” สู่การบรรลุเป้าหมายบางอย่างภายนอก แต่ประสบการณ์ที่แท้ในการปฏิบัติธรรมนั้นเอง คือ การบรรลุธรรม, ถึงแม้ว่าหลักสำคัญของพุทธศาสนานิกายเซ็น คือ การสืบทอดพิเศษนอกคัมภีร์  ไม่ต้องอาศัยคำพูดและตัวอักษร ชี้ตรงไปยังแก่นแท้ของมนุษย์ ให้เห็นแจ้งในธรรมชาติของตนเองและบรรลุความเป็นพุทธะ,   นิกายเซ็นได้แพร่หลายในประเทศญี่ปุ่นจนบางครั้งเข้าใจกันไปเองว่า เป็นนิกายที่มีต้นกำเนิดในญี่ปุ่น,   ส่วนท่านเว่ยหล่างผู้เป็นอาจารย์ของท่านฮวงโป ก็เป็นพระสังฆปรินายกองค์ที่ ๖ ของนิกายเซ็นของประเทศจีน

ความรู้เรื่องเซ็น

        ขอกล่าวถึงการบรรลุธรรมหรือตรัสรู้โดยฉับพลัน ตามแนวคำสอนของท่านฮวงโป มิใช่สิ่งเลื่อนลอยเพ้อฝันแต่ประการใด  คือท่านฮวงโปแห่งนิกายเซ็นได้กล่าวเน้นแสดงธรรมไว้แล้วว่า  จิตพุทธะหรือจิตบริสุทธิ์นั้นมีอยู่แล้วในทุกผู้คน แม้สัตว์โลกทั้งหลาย  จึงอย่าไปเที่ยวเสียเวลาไปแสวงหาจากภายนอก ไปเที่ยวค้นหาด้วยวิธีการต่างๆนาๆ  มันมีอยู่ภายในตัวเรานั่นแหละ   ซึ่งแท้จริงแล้วก็ตรงกับทางฝ่ายเถรวาท ที่กล่าวถึงไว้ว่า  จิตเดิมแท้หรือจิตพุทธะภายในเรานั้นแหละประภัสสร แต่หม่นหมองลงเพราะกิเลสที่จรมาสั่งสม คือจิตพุทธะหรือจิตเดิมแท้นั้น เป็นของที่มีอยู่กับชีวิตหรือตัวตนอยู่แล้วด้วยเป็นสภาวธรรมหรือธรรมชาตินั่นเอง แต่หม่นหมองลงไป ก็เพราะมีกิเลสต่างๆ จรมากระทบสั่งสมอยู่เนืองๆ,   ทางฝ่ายนิกายเซ็นนั้น ทางนิกายก็มีการถ่ายทอดบันทึกสืบต่อกันมาตามที่มีอยู่ในบันทึกของท่านฮวงโป อีกทั้งของท่านเว่ยหล่าง ได้กล่าวถึง พระมหากาศยะปะ ซึ่งก็คือพระมหากัสสปะของฝ่ายเถรวาทนั่นเอง(หัวข้อที่ ๑๑๓) ได้รับการถ่ายทอดโดยตรงจากพระตถาคต ถึงพระมหากัสสปะ ผ่านทางวิธี จิต สู่ จิต และสืบถ่ายทอดกันต่อๆไปดังนี้ตลอดมา  เน้นสอนด้านจิตสู่จิต หรือจิตเห็นจิต ด้วยปัญญา และถ่ายทอดกันจากปากสู่ปาก ปราศจากพิธีการ ลัดสั้นฉับพลันด้วยการข้ามพิธีรีตองที่ฝ่ายตัวเองเห็นว่าเยิ่นเย้อ เสียเวลา  ให้เห็นธรรมจากปริศนาธรรม  หรือดังรวบลัดสั้นให้เห็นความลึกซึ้งของการ"หยุดความคิดปรุงแต่ง"ว่า นี่แหละ ถือได้ว่าคือเป็นต้นตอ หรือต้นกำเนิด หรือเป็นเหตุปัจจัยของอวิชชาอย่างหนึ่งทีเดียว จึงเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดสังโยชน์อื่นๆแม้อีกทั้ง ๙ ที่เหลือ ทั้งหลายในแนวทางฝ่ายเถรวาท คือ สักกายทิฏฐิ  วิจิกิจฉา  สีลัพพตปรามาส  กามราคะ  ปฏิฆะ  รูปราคะ  อรูปราคะ  มานะ  และแม้อวิชชา แท้จริงแล้วก็มีมาจากบาทฐานของความคิดนึกปรุงแต่งหรืออุทธัจจะในสังโยชน์ข้อที่ ๙ เนื่องสัมพันธ์หรือเป็นเหตุปัจจัยร่วมด้วยทั้งสิ้น  เช่น

คิด หรือ ธรรมารมณ์ (คิดที่เป็นเหตุ เมื่อเกิดแล้วย่อมดำเนินไปตามหตุ)    +   ใจ     anired06_next.gif    มโนวิญญูาณขันธ์     anired06_next.gif     เวทนาขันธ์

หยุด มโนกรรม                  แสดงวงจรกระบวนธรรมการทำงานของขันธ์ทั้ง ๕  ที่วนเวียนปรุงแต่ง                            

สังขารขันธ์ เกิดมโนกรรม(เกิดคิดที่เป็นผล แม้ต้องรับผล ไม่สามารถดับได้  แต่อุเบกขาได้ จึงไม่ไปเป็นเหตุอีกได้)      สัญญาขันธ์

        มโนกรรม ที่เกิดขึ้นจากสังขารขันธ์นั่นแหละ ได้แปรไปทำหน้าที่เป็นธรรมารมณ์อีก  จึงเกิดการคิดปรุงแต่ง วนเวียนเป็นวงจรดังภาพ จนไม่เกิดจิตพุทธะหรือจิตเดิมแท้  แต่เมื่อหยุดการปรุงแต่ง ไม่ให้เกิดการเนื่องสัมพันธ์เป็นวงจรวนเวียนต่อเนื่องสัมพันธ์ได้อีก  จึงเป็นเพียงกระบวนธรรมตามธรรมชาติของขันธ์ ๕

        ได้มีการบันทึก คำสอนของท่านฮวงโป ที่ได้สนทนาธรรมกับ ท่านเป่ยสุ่ย ณ.เมือง ชินเชา  ได้มีการกล่าวถึงจิตพุทธะ หรือการบรรลุธรรมหรือตรัสรู้อย่างแบบฉับพลัน  ไม่ต้องยืดเยื้อไปด้วยพิธีรีตองใดๆเป็นขั้นๆ  ด้วยเพียงการ"หยุดคิดปรุงแต่ง" และ"หยุดการแสวงหา"เสียเพียงแค่นี้เอง  ด้วยเล็งเห็นว่าความคิดปรุงแต่งหรืออุทธัจจะนั่นแหละเป็นเหตุปัจจัยสำคัญยิ่ง ที่ทำให้เกิดตัณหาต่างๆขึ้นโดยไม่รู้ตัว เมื่อ"หยุดการคิดนึกปรุงแต่ง"และหยุดการแสวงหา"ลงไปเสียได้ ก็ย่อมขาดเหตุปัจจัยให้ตัณหาเกิดการสืบเนื่องต่อไปได้ ตัณหาก็ย่อมดับไปด้วยขาดเหตุปัจจัย เป็นไปดังคำกล่าวที่ว่า "ขาดจากเหตุปัจจัย มิได้มี"  จิตเดิมแท้หรือจิตพุทธะอันบริสุทธิ์ที่ดำเนินไปเพียงตามหน้าที่ของขันธ์ ๕ อันเป็นธรรมชาติของชีวิต ก็ไม่ถูกกิเลสตัณหาขึ้นห่อหุ้มอีกต่อไป

สักกายทิฏฐิ  แท้จริงก็เกิดจากการคิดนึกปรุงแต่งไปเพราะไม่รู้ความเป็นเหตุปัจจัย จนมีความเชื่อเรื่องตัวตน ว่าเป็นตัวตน เป็นของตัวตน เป็นไปโดยสั่งสมไม่รู้ตัว

วิจิกิจฉา ก็เกิดจากการคิดปรุงแต่งไปต่างๆนาๆ  จึงเกิดความคิดนึกต่างๆนาๆถูกบ้างผิดบ้างเป็นธรรมดาจนเกิดความสงสัย

สีลัพพตปรามาส ก็เกิดจากการคิดปรุงแต่ง จึงเสียเวลาไปกับศีลวัตรที่ผิดๆจนเนิ่นช้า

กามราคะ ก็เกิดจากการคิดปรุงแต่ง จึงคิดไปในกามทั้ง ๕ ให้เกิดราคะ

ปฏิฆะ ก็เกิดจากการคิดปรุงแต่งไปในสิ่งที่ขุ่นเคือง ขัดข้อง จึงเกิดความคับแค้น ขุ่นข้องใจ

ทั้งรูปราคะ และอรูปราคะ ก็เกิดจากการคิดปรุงแต่ง ว่าถูกทางแล้ว แสนสุข แสนสบาย  ศักดิ์สิทธิ์ มีฤทธิ์ มีเดช มีบุญ เป็นของวิเศษ

มานะ ก็เกิดจากการคิดปรุงแต่งไปว่า ด้อยกว่าเขา  เท่าเทียมเขา  เสมอเขา

อวิชชา ก็ด้วยไม่รู้ว่า "คิดนึกปรุงแต่งนี่แหละ ตัวทำให้เกิดทุกข์

ด้วยเหตุนี้ทางนิกายเซ็นหรือคำสอนของฮวงโปท่านจึงมาสรุปลัดสั้น ขาดจากพิธีรีตองอันฟุ่มเฟือยจนเฝือ ให้เรียบง่ายตามหลักการของเซ็น  มาที่จุดลัดสั้นและเรียบง่าย ทั้งต่อความเข้าใจและการปฏิบัติที่สุด คือ จิตพุทธะนั้นเป็นสภาวธรรมหรือธรรมชาติที่มีอยู่เช่นนี้เอง จึงไม่ต้องไปเที่ยวแสวงหาจากภายนอก  เพียงแต่"หยุดความคิดนึกปรุงแต่ง" หรือในแนวทางเถรวาทแล้วก็คือ "หยุด อุทธัจจะ"เสียนั่นเอง

 ส่วนหนึ่งของ คำสอนของฮวงโป

จิตหนึ่งนั้นแหละคือ พุทธะ    ไม่มีพุทธะอันใดที่ไหนอีกแล้ว

เพียงแต่ตื่น และลืมตาต่อ จิตหนึ่ง นี้เท่านั้น   และไม่มีอะไรที่จะต้องบรรลุถึงอะไร   ไม่มีอะไรต้องปรากฏ   นี่แหละคือพุทธะ ที่แท้จริง

เธอก็ไม่ควรพยายามจะเพิ่มเติมอะไรให้แก่สิ่งซึ่งสมบูรณ์อยู่แล้วนั้น ด้วยการบำเพ็ญวัตรปฏิบัติต่างๆ ซึ่งไร้ความหมายเหล่านั้น ไม่ใช่หรือ

6 ถ้าเธอยังไม่เห็นตระหนักอย่างเด็ดขาดลงไปว่า จิต นั้นคือพุทธะก็ดี  คือเธอยังยึดมั่นถือมั่นต่อรูปธรรมต่างๆอยู่ก็ดี ต่อวัตรปฏิบัติต่างๆอยู่ก็ดี และต่อพิธีการบำเพ็ญบุญกุศลต่างๆอยู่ก็ดี  แนวความคิดของเธอก็ยังผิดพลาดอยู่ และไม่เข้าร่องเข้ารอยกันกับทาง ทางโน้นคือพุทธะ เสียเลย  

8 พุทธะ ซึ่งมีอยู่ตลอดกาลนั้น ไม่ใช่พุทธะทางรูปธรรม หรือพุทธะของความยึดมั่นถือมั่น,   หรือการปฏิบัติปารมิตาต่างๆ  หรือการบำเพ็ญข้อวัตรปฏิบัติต่างๆ ที่คล้ายคลึงกันอีกเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน ด้วยเจตนาที่จะได้เป็นพุทธะสักองค์หนึ่งนั้น เป็นการปฏิบัติชนิดคืบหน้าไป ทีละชั้นๆ,  แต่พุทธะซึ่งมีอยู่ตลอดกาลดังที่กล่าวแล้วนั้น หาใช่พุทธะที่ลุถึงได้ ด้วยการปฏิบัติเป็นขั้นๆ เช่นนั้นไม่

        9 เรื่องมันเพียงแต่ตื่น และลืมตาต่อ จิตหนึ่ง นั้นเท่านั้น และไม่มีอะไรที่จะต้องบรรลุถึงอะไร  ไม่มีอะไรต้องปรากฏ  นี่แหละคือพุทธะ ที่แท้จริง พุทธะและสัตว์โลกทั้งหลาย คือ จิตหนึ่ง นี้เท่านั้น ไม่มีอะไรอื่นนอกไปจากนี้อีกเลย

หากยังไม่ลืมตาขึ้น ต่อสิ่งซึ่งเป็นสาระ กล่าวคือ จิต นี้   พวกเธอจะปิดบังจิตนั้นเสีย ด้วยความคิดปรุงแต่งของเธอเอง   พวกเธอจะไปเที่ยวแสวงหาพุทธะ นอกตัวเธอเอง ซึ่งไม่มี  และพวกเธอจะยังคงยึดมั่นต่อรูปธรรมทั้งหลาย ต่อการปฏิบัติเมาบุญต่างๆ และสิ่งอื่นๆทำนองนั้น ทั้งหมดนี้เป็นอันตราย และไม่ใช่หนทางอันนำไปสู่ความรู้อันสูงสุดที่กล่าวนั้น แต่อย่างใดเลย

จิตหนึ่ง ที่กล่าวแล้ว จงลืมตาดูมันเถิด มันอยู่ที่ตรงนั้นเอง พวกเธอซึ่งเป็นนักศึกษาเรื่อง ทาง ทางโน้น เมื่อไม่ลืมตาต่อสิ่งๆนี้ ซึ่งมีอยู่ในใจของเธอเองแล้ว และยึดมั่นถือมั่นต่อปรากฏการณ์ต่างๆ หรือแสวงหาสิ่งบางสิ่งฝายรูปธรรมจากภายนอกใจของเธอเอง อยู่ดังนี้แล้ว ย่อมเท่ากับหันหลังให้ต่อ ทาง ทางโน้น ด้วยกันทุกคน

คำพูด ที่ว่าไม่มีอะไรที่ต้องลุถึงนั้น  มันมิใช่คำพูดพล่อยๆ แต่เป็นความจริง

กลับหน้าเดิม