กฏธรรมชาติของชีวิต อันควรรู้ยิ่ง
หรือ
ธรรมหรือธรรมชาติของชีวิตอันยิ่งใหญ่
กฏธรรมชาติของชีวิต ที่จักกล่าวนี้ เป็นการรวบรวมธรรมบางประการที่เป็นกฏเกณฑ์อันแน่นอนไม่แปรผันของทุกผู้คนที่ยังมีชีวิตอยู่ เพื่อให้นักปฏิบัติพิจารณาให้เกิดความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง จักได้ไม่ไปพยายามปฏิบัติในลักษณาการของการฝืนธรรมหรือธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ด้วยอวิชชาความไม่รู้ เพราะสิ่งใดที่ฝืนธรรมหรือธรรมชาติอันเป็นเช่นนั้นเองเสียแล้ว ย่อมไม่มีทางประสบผลสำเร็จในการปฏิบัติได้อย่างถูกต้องถาวร ถ้าฝืนธรรมเสียแล้ว ถึงปฏิบัติได้ก็เป็นแบบครั้งคราไม่ถาวร เพราะย่อมไม่สามารถไปต่อสู้กับอำนาจอันยิ่งใหญ่ของธรรมหรือธรรมชาติอันย่อมเป็นเช่นนั้นเองได้นั่นเอง จึงต้องอาศัยธรรมของพระผู้มีพระภาคเป็นหลัก ที่อาศัยธรรมหรือธรรมชาตินั้นเองเป็นผู้ดับกิเลสและกองทุกข์
ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ เมื่อเหล่าอายตนะภายนอก๑ทั้งหลายอันมี รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และเหล่าธรรมารมณ์ มาประจวบหรือกระทบกับเหล่าสฬายตนะ๑อันมี ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ย่อมต้องเกิดวิญญาณ๑เฉพาะกิจนั้นๆตามสฬายตนะที่กระทบหรือประจวบกันขึ้นเป็นธรรมดา ดังเช่น ตากระทบรูปย่อมเกิดจักษุวิญญาณ หูกระทบเสียงย่อมเกิดโสตวิญญาณ ใจกระทบธรรมมารมณ์ย่อมต้องเกิดมโนวิญญาณ ฯ. จะห้ามไม่ให้เกิด ไม่ให้มี ไม่ให้เป็นในวิญญาณเหล่านั้น ย่อมไม่ได้ เพราะความเป็นสภาวธรรมหรือธรรมของชีวิตอย่างหนึ่งนั่นเอง
อายตนะภายนอก
สฬายตนะ
วิญญาณ
ผัสสะ
สัญญา(จํา)
เวทนา
สัญญาหมายรู้
สังขารขันธ์
การประจวบกันของธรรมทั้ง ๓ เรียกว่าเกิดการผัสสะกันเป็นธรรมดา ซึ่งเมื่อเกิดการประจวบกันหรือเกิดการผัสสะขึ้นแล้วจะห้ามไม่ให้เกิด ไม่ให้เป็น ย่อมไม่ได้เช่นกัน นอกจากนั้นแล้วผลที่เกิดขึ้นก็ย่อมเป็นไปตามธรรม ไม่สามารถควบคุมบังคับบัญชาได้ กล่าวคือเป็นไปตามเหตุตามผลตามที่ได้สั่งสมไว้นั่นเอง
ภาพแสดงการผัสสะ แล้วย่อมต้องเกิดเวทนา ดุจดั่งการกระเพื่อมของผิวน้ำเป็นธรรมดา
ด้วยเหตุดังนี้ ในการปฏิบัติในขั้นแรกที่ง่ายที่สุด ก็คือ การสำรวม สังวร ระวัง ในทวารทั้ง ๖ หรือสฬายตนะทั้ง ๖ ให้พยายามไม่สอดแส่ ส่งส่าย ออกไปปรุงแต่งให้เกิดการกระทบหรือผัสสะกับเหล่าอายตนะภายนอกทั้งหลายอันมี รูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ ธรรมมารมณ์ นั่นเอง เพราะเมื่อสอดแส่ ส่งส่ายไปปรุงแต่ง ย่อมเกิดการผัสสะขึ้นเป็นธรรมดา แล้วย่อมดำเนินไปตามกระบวนธรรมต่างๆจนเกิดเป็นความทุกข์ขึ้นนั่นเอง
เวทนา ไม่ว่าอย่างไรก็ตามที เมื่อเกิดการผัสสะแล้ว ย่อมต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดา เป็นสุข เป็นทุกข์ เป็นอทุกขมสุขเวทนา อย่างหนึ่งอย่างใดอย่างจริงแท้แน่นอน และเป็นไปตามสัญญาที่ได้สั่งสมและผุดขึ้น ณ ขณะนั้นๆ ไม่เกิดขึ้นเป็นไปไม่ได้ ไอ้ที่ว่าเฉยๆ หรือไม่เกิดขึ้น หรือไม่รู้สึกรู้สาใดๆนั้นก็คือเวทนาอย่างหนึ่ง กล่าวคือ อทุกขมสุขเวทนาหรือบางทีก็เรียกว่าอุเบกขาเวทนานั่นเอง
ทุกขเวทนา ความรู้สึกที่เป็นทุกข์ที่เกิดขึ้นจากการผัสสะกับอายตนะใดๆก็ตามที กล่าวคือ ความรู้สึกที่เป็นทุกข์ จึงครอบคลุมทั้งความรู้สึกไม่ถูกใจ ไม่ชอบใจ ไม่สบายใจไม่สบายกาย จากการผัสสะต่างๆอีกด้วย ซึ่งเป็นสภาวธรรมหรือธรรมชาติหนึ่งของทุกชีวิต แม้เป็นทุกข์อย่างหนึ่งและไม่สามารถหลีกหนีได้พ้นก็จริงอยู่ แต่สามารถทำให้ไม่เร่าร้อนเผาลนกระวนกระวายเป็นทุกข์อุปาทานด้วยไฟของตัณหาหรืออุปาทานได้ กล่าวคือ เมื่อเกิดขึ้นแล้วเป็นธรรมดา ต้องมีสติรู้เท่าทัน และไม่ไป พิรี้ พิไร รำพัน ไม่ถึงซึ่งโมหะหรือความหลง กล่าวคือ ไม่ไปอยากหรือไม่อยากด้วยตัณหา จึงไปยึดว่าเป็นเราหรือของเราด้วยด้วยกิเลสหรืออุปาทานนั่นเอง หรือกล่าวได้ว่า ไม่หลง(โมหะ)ไปคิดหรือไปนึกปรุงแต่งเข้าไปอีก ก็ย่อมดับไปเป็นที่สุดก็ย่อมไม่สามารถบังเกิดเป็นทุกข์อุปาทานอันแสนเร่าร้อนเผาลน คงเป็นเพียงแต่ทุกขเวทนาตามธรรมหรือธรรมชาติชั่วขณะระยะหนึ่ง ดังนั้นหลักสำคัญในการปฏิบัติ จึงต้องระลึกรู้เท่าทัน และเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ด้วยว่า ทุกขเวทนานั้นยังมีอยู่เป็นธรรมดา แต่ปฏิบัติเยี่ยงไรจึงไม่กลับกลายเป็นเวทนูปาทานขันธ์(เวทนาที่ประกอบด้วยตัณหาหรืออุปาทานนั่นเอง)ที่ย่อมยังให้เกิดสังขารขันธ์ชนิดที่เป็นทุกข์อุปาทานอันแสนเร่าร้อนเผาลน ดังแสดงในปฎิจจสมุปบาทธรรม
ส่วนความสุขหรือสุขเวทนานั้นเล่า แม้เป็นสุขอย่างหนึ่งก็จริงอยู่ แต่เพราะพระไตรลักษณะ ความไม่เที่ยง จึงต้องดับไปเป็นที่สุด ไม่สามารถคงทนหรือควบคุมบังคับบัญชา ให้คงสภาพอยู่ได้อย่างถาวร และเกิดการเก็บจำหรือสัญญาไว้ อันยังให้เกิดการปริเทวะหรือการโหยไห้อาลัยหาขึ้นอีกอย่างแน่นอนในภายหน้า ดังนั้นเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ก็ไม่ถึงซึ่งความเพลิดเพลินหรือติดเพลิน เมื่อผุดขึ้นหรือระลึกขึ้นมาได้ด้วยเหตุใดก็ตามที ก็ไม่ครํ่าครวญ บ่นถึงหรือการคิดนึกปรุงแต่งถึงเหล่าสุขนั้น โดยการโหยไห้อาลัยหาในเหล่าสุขนั้น ให้เกิดเวทนาต่างๆนาๆขึ้นอีก จนเกิดตัณหาอุปาทานจนเป็นทุกข์อุปาทานในที่สุด กล่าวคือสุขเวทนาในที่สุดย่อมแปรไปเป็นทุกขเวทนา เป็นไปดังที่กล่าวไว้ใน จูฬเวทัลลสูตร
สุขเวทนา เป็นสุขเพราะตั้งอยู่ เป็นทุกข์เพราะแปรไป
ส่วนอทุกขสุขเวทนาหรืออุเบกขาเวทนา แม้เป็นความรู้สึกที่เกิดจากการผัสสะหรือรับรู้ชนิดเฉยๆ คือไม่รู้สึกรู้สาว่าเป็นสุขหรือทุกข์ก็ตามที แต่ก็เป็นความรู้สึกรับรู้อย่างหนึ่งที่ยังเกิดขึ้นจากการผัสสะอยู่นั่นเอง จึงมักพาให้ประมาทกันไปว่า ไม่เป็นทุกข์โทษภัยแต่ประการใด จึงเกิดโมโหะความหลง กล่าวคือ จึงหลงประมาทไปคิดนึกปรุงแต่งวนเวียน จนเป็นทุกข์อุปาทานขึ้นเป็นที่สุด ด้วยความเข้าใจผิดว่าไม่มีโทษภัย
ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ ทุกขอริยสัจหรือก็คือเหล่าทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นจากทุกขอริยสัจนั่นเอง ก็ยังคงมีอยู่ตราบนั้น แต่ไม่มีอุปาทานทุกข์อันบรมสุขได้จากการปฏิบัติธรรมของพระองค์ท่าน
หลักการปฏิบัติที่ถูกต้อง ย่อมประกอบด้วย ศีล สมาธิ และปัญญา ที่หมายถึง มีศีล จึงเป็นเหตุปัจจัยให้มีสมาธิ แล้วนำมาพิจารณาธรรมอันเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดปัญญาเป็นที่สุด ถ้าปฏิบัติแต่สมาธิฝ่ายเดียวโดยขาดปัญญาในการพิจารณาธรรมให้แจ่มแจ้ง ก็จะเป็นเพียงดั่งโยคะเท่านั้นเอง
เมื่อเกิดความทุกข์อุปาทานขึ้นแล้ว ไม่สามารถหยุดลงไปได้ ย่อมหมายถึง ยังพัวพันนัวเนียกันอยู่ หรือยังมีการคิดนึกปรุงแต่งวนเวียนอยู่นั่นเอง ไม่เป็นอื่นไปได้ จึงย่อมยังมีการผัสสะกันของธรรมารมณ์อยู่นั่นเอง จึงเกิดทุกขเวทนาแบบ เกิดดับๆๆ....ต่อเนื่องกันราวกับเป็นเนื้อเดียวกันไปโดยไม่รู้ตัว ลองพิจารณาโดยละเอียดก็จะพบความจริงข้อนี้อยู่ว่า จิตนั้นยังมีการปรุงแต่งทั้งใหญ่บ้างก็พอสังเกตุออก กับยังมีปรุงแต่งโดยละเอียดวับๆแวมๆอยู่นั่นเอง ความทุกข์ที่กำลังดิ้นเร่าร้อนอยู่ จึงย่อมไม่ดับลงไปนั่นเอง ดังนั้นถ้าไม่สามารถหยุดการคิดปรุงแต่งในเรื่องดังกล่าวลงไปได้ ก็ให้หันจิตไปอยู่กับสิ่งอื่นที่ยิ่งกว่า หรือไปอยู่ใน กาย เวทนา จิต ธรรม ในสติปัฏฐาน ๔ เสีย
กฏธรรมชาติของชีวิต ที่ทำให้เกิดทุกข์อุปาทาน
เพราะอาสวะกิเลสหรือความจำที่นอนเนื่องอยู่ในจิต ร่วมด้วยอวิชชาความไม่รู้ เป็นปัจจัยจึงเกิด สังขาร เช่น ความคิด หรือการกระทำ หรือวาจา ต่างๆนาๆตามที่ได้เคยสั่งสมไว้แต่อดีต จึงผุดขึ้นมาเองอันเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของชีวิตเช่นกัน จึงห้ามเสียเลยก็ไม่ได้ หรืออาจเจตนาขึ้นมาเอง หรือถูกกระตุ้นเร้าจากเหตุหนึ่งเหตุใดก็ดี หรือจะกล่าวว่า เพราะวิบากกรรมหรือกรรมเก่าร่วมด้วยอวิชชาเป็นตัวขับเคลื่อนให้เกิดสังขารกิเลสหรือเรียกว่าสังขารวิบากต่างๆนาๆขึ้นก็ได้
เมื่อเกิดสังขารต่างๆดังกล่าวขึ้น ย่อมเกิดวิญญาณขึ้นมารู้แจ้งหรือรับรู้ในสังขาร เช่นความคิดที่ผุดขึ้นมานั้น
เมื่อวิญญาณอันเป็นธรรมชาติของผู้มีชีวิตอย่างหนึ่งเกิดขึ้นแล้ว นาม-รูปหรือตัวตนจึงครบองค์หรือครบองค์ประกอบของการทำงานของขันธ์ทั้ง ๕ หรือชีวิตขึ้น หรือเรียกว่าเกิดนาม-รูป กล่าวคือ ตัวตนจึงตื่นตัวพร้อมที่จะทำหน้าที่ต่างๆตามสังขารข้างต้นที่เกิดขึ้นมาแล้วนั้น
เมื่อนาม-รูปตื่นตัวครบองค์แล้ว สฬายตนะทั้ง๖ อันเป็นส่วนหนึ่งของนาม-รูปโดยธรรมหรือธรรมชาติ อันมี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทั้ง๖ จึงย่อมตื่นตัวพร้อมทำหน้าที่ของตนเช่นกัน สฬายตนะใดที่ทำหน้าที่โดยตรงกับสังขารที่เกิดขึ้นนั้น ก็เข้าไปทำหน้าที่โดยตรง ส่วนสฬายตนะอื่นๆก็ทำหน้าที่เป็นเพียงผู้สนับสนุนหรือbackup ดังเช่น ถ้าสังขารกิเลสที่ผุดขึ้นมานั้น ถ้าเป็นความคิด(ธรรมารมณ์) สฬายตนะอันคือใจหรือจิตก็ย่อมเข้าไปทำหน้าที่โดยตรงเป็นสำคัญ
เมื่อสฬายตนะเข้าทำงานตามหน้าที่แล้ว ย่อมเกิดการครบองค์ที่พระองค์ท่านเรียกว่า ผัสสะ กล่าวคือ การประจวบกันของปัจจัยทั้ง ๓ อันมี อายตนะภายนอก๑(ในที่นี้ก็คือสังขารกิเลส ดังตัวอย่างที่แสดงข้างต้นก็คือ ความคิดหรือธรรมารมณ์) ประจวบกับอายตนะภายใน๑(ในตัวอย่างที่นี้ก็คือใจ) พร้อมด้วยวิญญาณ๑
เมื่อครบองค์ของการผัสสะดังกล่าวแล้ว ย่อมบังเกิดความรู้สึกรับรู้ในสังขารนั้นๆ กล่าวคือเวทนานั่นเอง อันเป็นธรรมชาติของชีวิต จะไม่ให้เกิด ไม่ให้มี ไม่ให้เป็น ก็ไม่ได้อย่างเด็ดขาด
เมื่อเกิดความรู้สึกจากการรับรู้ในการผัสสะหรือเวทนา เป็นอย่างหนึ่งอย่างใดอันเป็นไปตามธรรมหรือธรรมชาติของชีวิต เช่น เกิดสุขเวทนา หรือทุกขเวทนาก็ตามที ก็ย่อมเกิดความรู้สึกอีกชนิดหนึ่งอันเกิดแต่ภายในตน(อันได้สั่งสมไว้แต่อ้อนแต่ออก หรือแต่อดีต หรือกล่าวได้ว่าไม่รู้ว่านานมาสักกี่ภพกี่ชาติมาแล้วนั้น) เป็นความทะยานอยากหรืออาจเป็นความไม่อยาก อันล้วนคือตัณหานั่นเอง เกิดขึ้นต่อความรู้สึกหรือเวทนาเป็นสุขเป็นทุกข์ที่เกิดขึ้นนั้นๆ ส่วนถ้าความรู้สึกที่เกิดจากการผัสสะหรือเวทนานั้นเป็นอทุกขมสุขเวทนากล่าวคือ ไม่สุขไม่ทุกข์หรือเฉยๆ ก็มักจะเวียนวนคิดหรือนึกปรุงแต่งจนเกิดเป็นสุขเวทนาหรือทุกขเวทนาขึ้นในที่สุด ด้วยอวิชชา
เมื่อเกิดตัณหาอันเป็นความรู้สึกทะยานอยากที่เกิดแต่ภายในตนตามที่ได้สั่งสมอบรมไว้มาแต่เก่าก่อนขึ้นแล้ว ก็ย่อมเกิดกระบวนธรรมของจิตขึ้นอีกอย่างหนึ่ง กล่าวคือ จิตเกิดการยึดมั่นถือมั่นให้เป็นไปตามกิเลสหรือตัณหาที่เกิดขึ้นมาแล้วนั้น ก็เพื่อให้ตัณหาหรือความทะยานอยากหรือความปรารถนานั้นสัมฤทธิ์ผลเป็นตัวเป็นตนเป็นผล(ในความรู้สึกของตน)ขึ้นมาจริงๆ หรือที่พระองค์ท่านทรงตรัสเรียกอาการของจิตเยี่ยงนี้ว่า อุปาทาน คืออาการของจิตที่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดด้วยกิเลสนั่นเอง
เมื่อเกิดอุปาทาน การยึดมั่นถือมั่นด้วยกิเลส หรือยึดมั่นถือมั่นให้เป็นไปตามความพึงพอใจของตัวของตนแล้ว จิตจึงเกิดการตกลงปลงใจเป็นที่สุดในเรื่องนั้นๆ เรียกว่าเกิด ภพ ขึ้นกล่าวคือ สภาวะจิตหรือคูหาจิตที่ตัดสินใจหรือตกลงใจที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นๆขึ้นในที่สุด
เมื่อตกลงปลงใจเป็นที่สุดแล้ว ก็เป็นการดำเนินเข้าสู่ชาติหรือการเกิดขึ้นแห่งทุกข์ อย่างเต็มตัว กล่าวคือ เกิดสัญญาคือเหล่าความหมายรู้หมายเข้าใจต่างๆย่อมเกิดขึ้น แต่ล้วนย่อมเป็นการหมายรู้หมายเข้าใจที่เป็นไปตามภพที่ตกลงหรือปลงใจ หรือก็คือตามกิเลสหรือตัณหาหรืออุปาทานที่ครอบงำแล้วนั่นเอง กล่าวคือ เป็นสัญญาชนิดสัญญาณูปาทานขันธ์(สัญญาที่ประกอบด้วยอุปาทาน) จึงหมายรู้หมายเข้าใจไปในแนวทางตามที่ตนยึดมั่นถือมั่น หรือพึงพอใจเป็นสำคัญ และเป็นไปโดยไม่รู้ตัว แล้วจึงเกิดการตกลงปลงใจเป็นสังขารขันธ์การกระทำต่างๆนาๆ ตามภพที่ได้ตกลงปลงใจ ซึ่งล้วนย่อมต้องตกอยู่ในอิทธิพลของอุปาทานตามสัญญาณูปาทานขันธ์ที่เกิดขึ้นมาข้างต้นแล้วนั้น จึงเรียกสังขารที่เกิดชนิดนี้ว่า สังขารูปาทานขันธ์ (สังขารที่ประกอบด้วยอุปาทาน)
พึงสังเกตุว่า ขันธ์ ๕ หรือกระบวนการดำเนินชีวิตที่ประกอบด้วยขันธ์ทั้ง ๕ ที่ดำเนินไปในวงจรปฏิจจสมุปบาทเหล่านี้ เมื่อดำเนินถึงชาติ แล้ว ล้วนเกิดการแปรผันไปเป็นอุปาทานขันธ์ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าเป็นทุกข์ อันเป็นอุปาทานทุกข์ คือ ความทุกข์ที่แฝงด้วยอุปาทาน หรือความยึดมั่นในกิเลส หรือความพึงพอใจของตัวของตนเป็นสำคัญ เป็นความทุกข์ชนิดที่พระองค์ท่านสอนให้เราเพียรปฏิบัติเพื่อดับไปเสีย จึงไม่ใช่เป็นเพียงแต่ทุกขอริยสัจหรือทุกขเวทนาที่ยังคงมีและเกิดขึ้นเป็นธรรมดาของชีวิตเท่านั้นแล้ว
กระบวนการทั้งหมดนี้ แม้เวลากล่าวดูเยิ่นเย้อ สลับซับซ้อน แต่ล้วนเกิดขึ้นในเวลารวดเร็วกว่าสายฟ้าแลบเสียอีก อันเป็นแค่ช่วงขณะจิตหนึ่งเท่านั้นเอง เมื่อเกิดสังขารูปาทานขันธ์ คือการกระทำต่างๆทางกาย วาจา หรือใจ ก็ล้วนเป็นไปตามกำลังอิทธิพลของอุปาทานทั้งสิ้น
แม้เกิดสังขารูปาทานขันธ์ขึ้นมาแล้ว และได้รับการตอบสนองดังตัณหานั้นๆก็ตามที ก็ย่อมเกิดความสุขขึ้น ณ ขณะนั้นๆนั่นเอง เพียงแต่ว่ามันไม่เที่ยง ทนอยู่ไม่ได้ เป็นอนัตตา ย่อมดับไปแล้วยังต้องเกิดการเก็บจำสั่งสมไว้ในรูปอาสวะกิเลส รอวันกำเริบเสิบสานขึ้นอีกอย่างแน่นอน เช่นกัน หรืออาจวนเวียนคิดนึกปรุงแต่งต่อไปจนเกิดทุกข์ขึ้นในที่สุดก็ได้
แต่ถ้าไม่ได้รับการตอบสนองให้เป็นไปตามภพหรือตัณหาอุปาทาน กระบวนธรรมของจิตที่แลดูอย่างผิวเผินๆคล้ายว่าจะจบหรือดับลงไปเพียงเท่านั้น แต่กาลกลับเป็นว่า แม้จบลงไปแล้ว แต่เป็นเพียงการดับหรือจบลงไปเพียงแค่ชั่วเสี้ยวขณะจิตหนึ่งเท่านั้น เพราะจิตกลับดำเนินต่อไปโดยไม่รู้ตัวด้วยอวิชชาและขาดสติ จึงดำเนินต่อไปเข้าสู่องค์ธรรมชรา หรือความแปรปรวน ความกลับกลาย ต่อไปอีกขั้นหนึ่ง กล่าวคือ เกิดการปรุงแต่งหรือการกระทำแบบชนิดระลอกแล้วระลอกเล่าต่อไป วนเวียนเป็นลูกโซ่ หรือเป็นวงจรอีกวงจรหนึ่ง(แสดงด้วยวงจรเล็กสีแดง)โดยไม่รู้ตัว และแน่นอนที่ขันธ์ ๕ ที่ดำเนินไปในชราเหล่านี้ ย่อมล้วนแฝงด้วยอุปาทานล้วนสิ้น กล่าวคือ เกิดอุปาทานขันธ์ ๕ วนเวียนอยู่ในกองทุกข์ไปอีกนาน จนกว่าจะมีสติ หรือเกิดการดับไปตามอำนาจพระไตรลักษณ์ หรือเกิดการเบี่ยงเบนบดบังด้วยสิ่งอื่นมากระทบหรือผัสสะนั่นเอง จึงกล่าวได้ว่าเป็นการดับไปของทุกข์อุปาทานที่เกิดขึ้น หรือที่เรียกในวงจรว่ามรณะ
แต่มรณะหรือการดับไปของทุกข์อุปาทานในครั้งนี้ แม้ดูราวกับว่า ได้จบสิ้นลงไปแล้วโดยบริบูรณ์ แต่หาได้เป็นไปดังที่คิดไว้ไม่ เหตุเพราะเป็นธรรมชาติของชีวิต ที่ย่อมมีการเก็บจำ(สัญญา)เกิดขึ้นเป็นธรรมดาของชีวิต จะห้ามไม่ให้จำ หรือเลือกจดจำก็ไม่ได้ ดังนั้นจึงเกิดสัญญาต่างๆขึ้นในจิตโดยไม่รู้ตัวและไม่ต้องเจตนา และสัญญาเหล่านี้ล้วนเป็นสัญญาที่ย่อมแฝงด้วยอุปาทานหรือกิเลสที่เกิดขึ้นและเป็นไปที่ดำเนินมา ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าเรียกสัญญาหรือความจำเยี่ยงนี้ว่า อาสวะกิเลส
และอาสวะกิเลสนี่เอง ที่นอนเนื่องตกตะกอนนอนก้น รอโอกาสผุดเกิดขึ้นมาย้อมจิตปุถุชน ด้วยความทรงจำที่ล้วนย่อมแฝงด้วยตัณหาอุปาทานหรือกิเลสนั่นเอง
ทำไมจึงไม่ดับหรือสังเกตุตัณหาโดยตรง กลับต้องใช้เวทนานุปัสสนาและจิตตานุปัสสนา เพื่อดับกิเลสจึงถาวร
หลายท่านคงมีความสงสัยอยู่ในทีบ้างว่า เหตุใดองค์พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงไม่ให้ ฝึก จิตให้เห็นตัณหา ดังเช่น จิตเห็นเวทนา(เวทนานุปัสสนา) หรือ จิตเห็นจิตหรือจิตตสังขาร(จิตตานุปัสสนา) กล่าวแต่การให้ละตัณหาเสียเท่านั้น
เหตุเพราะพระองค์ทรงรู้เหตุอย่างแจ่มแจ้ง
ทรงทราบดีว่า ตัณหานั้น เป็นลักษณะของกิเลสที่สั่งสมนอนเนื่องอยู่ในจิต ไม่มีตัวตน
ตัวมันเองไม่สามารถก่อเหตุก่อผล ก่อทุกข์ได้โดยตรงๆ เพียงแต่นอนเนื่องอยู่ในจิตคือเหล่ากิเลส
ที่เมื่อมีเหตุปัจจัยอันคือเวทนาเกิดขึ้นเสียก่อน
ตัณหาเองจึงเกิดขึ้นต่อเวทนาเหล่านั้น
จนเกิดสังขารขันธ์ที่ประกอบด้วยอุปาทานหรือกิเลสขึ้นมาได้ ![]()
ธรรมหรือธรรมชาติของชีวิตที่สำคัญยิ่งอย่างหนึ่งที่น่ารู้ยิ่งคือ สัญญา(ความจำได้ ความหมายรู้) เป็นอาการธรรมชาติของชีวิต ที่จดจำทั้งหมายรู้สิ่งต่างๆทั้งรูปธรรมนามธรรม ทั้งดีและชั่ว ฯ. จะเลือกจดจำแต่สิ่งดีๆมีสุขแต่อย่างเดียวก็ไม่ได้ จะดีจะชั่วล้วนจดจำไว้เป็นธรรมดา และสัญญาเหล่านี้ก็เป็นไปในลักษณาการของการเกิดดับๆๆ...อยู่เสมอๆ จึงมีทั้งอาการของเมื่ออยากจะจำกลับลืม เมื่ออยากจะลืมกลับจำ สัญญาเป็นขันธ์หนึ่งที่จำเป็นยิ่งในการดำรงชีวิต ไม่มีเสียขันธ์ ๕ หรือชีวิตก็ไม่บริบูรณ์ อาการที่อาจผุดขึ้นเองโดยธรรมหรือธรรมชาติของสัญญานี้นี่เอง(หรือก็คืออาวะกิเลสที่ร่วมด้วยอวิชชาแล้วผุดเป็นสังขารในปฏิจจสมุปบาทนั่นเอง) เป็นเหตุสำคัญยิ่งที่ทำให้เกิดทุกข์อุปาทานขึ้น เป็นเหตุให้จึงต้องมีการฝึกสติใหระลึกรู้เท่าทันเวทนาหรือจิต(จิตตสังขาร เช่น ความคิด ความนึก) อันเป็นผลที่ย่อมเกิดขึ้นมาจากการผัสสะกับสัญญาที่ผุดขึ้นมาเหล่านั้น กล่าวคือ จึงต้องมีสติรู้ในเวทนาและจิตที่เกิดขึ้นมาเหล่านั้น ตลอดจนเท่าทันว่าอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้วอุเบกขาเป็นกลางวางทีเฉย โดยการไม่เอนเอียงไปคิดไปนึกร่วมปรุงแต่งในเรื่องนั้นๆอีก หรือหยุดจิตฟุ้งซ่านเสียนั่นเอง เวทนาหรือความรู้สึกสุขทุกข์ที่เกิดขึ้นมาแล้วนั้นย่อมต้องจางคลาย แล้วดับไปเป็นที่สุด ซึ่งเมื่อหยุดการปรุงแต่งร่วมด้วยแล้วย่อมทำให้วัฏฏะหรือวงจรของทุกข์ถูกตัดขาดลงไปนั่นเอง