สังคายนา
สังคายนา
การสวดพร้อมกัน, การร้อยกรองพระธรรมวินัย, การประชุมตรวจชำระสอบทานและจัดหมวดหมู่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าวางลงเป็นแบบแผนอันหนึ่งอันเดียว;
สังคายนา
ครั้งที่ ๑ ถึง ๕ มีดังนี้:
สังคายนาครั้งที่
๑ ปรารภเรื่องสุภัททภิกษุผู้บวชเมื่อแก่กล่าวจ้วงจาบพระธรรมวินัย
ที่เมื่อทราบข่าวพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานใหม่ๆได้แสดงความยินดีว่า เมื่อสิ้นพระศาสดาเสียแล้วจะทำอะไรก็ได้
ไม่มีคนคอยตำหนิ ติเตียน ห้ามปราม, จึงปรารภที่จะทำให้ธรรมและพระศาสนารุ่งเรืองอยู่สืบต่อไป
พระอรหันต์ ๕๐๐ รูป มีพระมหากัสสปะเป็นประธาน และเป็นผู้ถาม พระอุบาลีเป็นผู้วิสัชนาพระวินัย
พระอานนท์เป็นผู้วิสัชนาพระธรรม ประชุมสังคายนาที่ถ้ำสัตตบรรณคูหา ภูเขาเวภารบรรพต
เมืองราชคฤห์ เมื่อหลังพุทธปรินิพพาน ๓ เดือน
โดยพระเจ้าอชาตศัตรูเป็นศาสนูปถัมภก์
สิ้นเวลา ๗ เดือนจึงเสร็จ
สังคายนาครั้งที่
๒ ปรารภพวกภิกษุวัชชีบุตรแสดงวัตถุ
๑๐ ประการ นอกธรรม นอกวินัย กล่าวคือ ภิกษุพวกหนึ่งชาวเมืองเวสาลี แสดงวัตถุ
๑๐ ประการ ละเมิดธรรมวินัย อันเป็นต้นเหตุแห่งการสังคายนาครั้งที่
๒ โดยไปจัดของนอกธรรมนอกวินัยว่า
เป็นของดี ว่าถูกต้อง อันเป็นไปในทางเพื่อลาภ เพื่อความสะดวกสบาย ฯ. อันทำให้พระศาสนาเสื่อม
มัวหมอง, พระยศกากัณฑกบุตรเป็นผู้ชักชวน ได้พระอรหันต์ ๗๐๐ รูป พระเรวตะเป็นผู้ถาม
พระสัพพกามีเป็นผู้วิสัชนา ประชุมทำที่วาลิการาม เมืองเวสาลี เมื่อ พ.ศ ๑๐๐
โดยพระเจ้ากาลาโศกราช
เป็นศาสนูปถัมภก์ สิ้นเวลา ๘ เดือนจึงเสร็จ
สังคายนาครั้งที่
๓ ปรารภเดียรถีย์มากมายปลอมบวชในพระศาสนาเพราะมีลาภสักการะเกิดขึ้นมาก
พระอรหันต์ ๑,๐๐๐ รูป มีพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระเป็นประธาน ประชุมทำที่อโศการามเมืองปาฏลีบุตร
เมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๓๔ (พ.ศ. ๒๑๘ เป็นปีที่พระเจ้าอโศกขึ้นครองราชย์) และมีศิลาจารึกที่ปรากฏเป็นหลักฐานบางส่วนอยู่จนถึงปัจจุบัน
โดยพระเจ้าอโศก
หรือ ศรีธรรมาโศกราชเป็นศาสนูปถัมภก์ สิ้นเวลา ๙ เดือนจึงเสร็จ
สังคายนาครั้งที่
๔ ปรารภจะให้พระศาสนาประดิษฐานมั่นคงในลังกาทวีป
พระสงฆ์ ๖๘,๐๐๐ รูป มีพระมหินทเถระเป็นประธานและเป็นผู้ถาม พระอริฏฐะเป็นผู้วิสัชนา
ประชุมทำที่ถูปาราม เมืองอนุราธบุรี เมื่อ พ.ศ. ๒๓๖
โดยพระเจ้าเทวานัมปิยติสสะเป็นศาสนูปถัมภก์
สิ้นเวลา ๑๐ เดือนจึงเสร็จ
สังคายนาครั้งที่
๕ ปรารภพระสงฆ์แตกกันเป็น ๒ พวกคือ
พวกมหาวิหารกับพวกอภัยคีรีวิหาร และคำนึงว่าสืบไปภายหน้ากุลบุตรจะถอยปัญญา ควรจารึกพระธรรมวินัยลงในใบลาน
พระอรหันต์ ๕๐๐ รูป ประชุมกันสวดซ้อมแล้วจารพุทธพจน์ลงในใบลาน ณ อาโลกเลณสถาน ในมลยชนบท
ในลังกาทวีป เมื่อ พ.ศ. ๔๕๐ (ว่า ๔๓๖ ก็มี)
โดยพระเจ้าวัฏฏคามณีอภัยเป็นศาสนูปถัมก์;
บางคัมภีร์ว่า
สังคายนาครั้งนี้จัดขึ้นในความคุ้มครองของคนที่เป็นใหญ่ในท้องถิ่น
(ครั้งที่
๔ ได้รับความยอมรับในแง่เหตุการณ์น้อยกว่าครั้งที่ ๕)
ประเทศไทย ยอมรับการสังคายนาตามลำดับ ตามที่บันทึกไว้ในหนังสือสังคีติยวงศ์ รจนาเป็นภาษาบาลี โดยสมเด็จพระวันรัต วัดพระเชตุพนฯ (รจนาเมื่อครั้งยังเป็นพระพิมลธรรม) ในรัชกาลที่ ๑ ได้จัดลำดับสังคายนาไว้ คือ
สังคายนาครั้งที่ ๑-๒-๓ ทำในประเทศอินเดีย,
สังคายนาครั้งที่ ๔-๕ ทำในประเทศลังกา ดังกล่าวแล้วข้างต้น
แล้วยังมีการสังคายนาที่ยอมรับกันในประเทศไทยต่อมาอีกดังนี้
สังคายนาครั้งที่
๖ ทำในลังกา
เมื่อ พ.ศ. ๙๕๖ พระพุทธโฆสาจารย์(พระพุทธโฆษาจารย์
ก็เขียนกัน) ชาวอินเดีย ได้แปลและเรียบเรียงอรรถกถาจากภาษาสิงหลเป็นภาษาบาลี ในรัชสมัยพระเจ้ามหานาม
การสังคายนาครั้งนี้มิได้ชำระพระไตรปิฎก หากแต่ชำระอรรถกถา
แต่ทางลังกาเองไม่นับเป็นการสังคายนา
สังคายนาครั้งที่
๗ ทำในลังกา
เมื่อ พ.ศ. ๑๕๘๗ พระกัสสปเถระ เป็นประธาน ได้รจนาและชำระคัมภีร์ฎีกาต่างๆ
ร่วมกับภิกษุผู้เชี่ยวชาญพุทธธรรมกว่า ๑,๐๐๐ รูป ได้รจนาคำอธิบายอรรถกถาพระไตรปิฎก
เป็นภาษาบาลี กล่าวคือแต่งตำราอธิบายคัมภีร์อรรถกถา
ซึ่งพระพุทธโฆสะได้ทำเป็นภาษาบาลีไว้ในการสังคายนาครั้งที่ ๖ คำอธิบายอรรถกถานี้ว่าตามสำนวนนักศึกษาก็คือ
คัมภีร์ฎีกา ตัวพระไตรปิฎก เรียกว่าบาลี คำอธิบายพระไตรปิฎก เรียกว่า อรรถกถา คำอธิบายอรรถกถา
เรียกว่า ฎีกา, การทำสังคายนาครั้งนี้ เนื่องจากมิใช่สังคายนาพระไตรปิฎก ทางลังกาเองก็ไม่รับรองว่าเป็นสังคายนา
หลังจากนั้น ก็มีการสังคายนาเกิดขึ้นในประเทศไทยอีก ๒ ครั้ง
สังคายนาครั้งที่
๘ ทำในประเทศไทย ประมาณ พ.ศ.
๒๐๒๐ พระเจ้าติโลกราชแห่งเชียงใหม่ ได้อาราธนาพระภิกษุผู้ทรงไตรปิฎกหลายร้อยรูป
ให้ช่วยชำระอักษรพระไตรปิฎก ในวัดโพธาราม เป็นเวลา ๑ ปี จึงสำเร็จสังคายนา ครั้งนี้จัดเป็นครั้งที่
๑ ในประเทศไทย
สังคายนาครั้งที่
๙ ทำในประเทศไทยเมื่อ พ.ศ.
๒๓๓๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ปฐมกษัตริย์แห่งบรมราชจักรีวงศ์ กรุงรัตนโกสินทร์
ได้ทรงอาราธนาพระสงฆ์ให้ชำระพระไตรปิฎก ในครั้งนี้มีพระสงฆ์ ๒๑๘ รูป กับราชบัณฑิตาจารย์อุบาสก
๓๒ คน ช่วยกันชำระพระไตรปิฎก แล้วจัดให้มีการจารึกลงในใบลาน สังคายนาครั้งนี้สำเร็จภายใน
๕ เดือน จัดว่าเป็นสังคายนาครั้งที่ ๒ ในประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม ข้อความที่กล่าวไว้ในหนังสือสังคีติยวงศ์ ก็นับว่าได้ประโยชน์ในการรู้ความเป็นมาแห่งพระไตรปิฎก
อรรถกถา และฎีกา อย่างดียิ่ง ประวัติการสังคายนา ๙ ครั้งตามที่ปรากฏในหนังสือสังคีติยวงศ์
ซึ่งสมเด็จพระวันรัตรจนาไว้นี้ ภิกษุชินานันทะ ศาสตราจารย์ภาษาบาลีและพุทธศาสตร์
แห่งสถาบันภาษาบาลีที่นาลันทาในประเทศอิเดียได้นำไปเล่าไว้เป็นภาษาอังกฤษ ในหนังสือ
๒๕๐๐ ปี แห่งพระพุทธศาสนาในอินเดีย ซึ่งพิมพ์ขึ้นในโอกาสฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ ในอินเดียด้วย
การนับจำนวนการสังคายนาในแต่ละประเทศ มีความแตกต่างและการยอมรับต่างกันไป ในแต่ละประเทศ.