buddha

  หัวข้อธรรม ๑๘

ธรรมารมณ์

 คลิกขวาเมนู

    ธรรมารมณ์  คือ อารมณ์ทางใจหรือสิ่งที่กำหนดได้ด้วยใจ, สิ่งที่ใจคิดนึก

    ธรรมารมณ์หรือจิตคิดจิตนึก ที่มาทำหน้าที่เป็นเหตุคือเป็นอายตนะภายนอกอย่างหนึ่งในกระบวนธรรมของขันธ์ ๕ เกิดขึ้นได้หลายทาง

    ๑.จากสังขารขันธ์หรืออารมณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น เมื่อปรุงแต่งจิตให้เกิดเจตนาเป็นกรรมชนิดการกระทำทางใจหรือมโนกรรม คือความนึกคิด  ซึ่งความนึกคิดนี้ก็สามารถไปทำหน้าที่เป็นธรรมารมณ์หรือฝ่ายเหตุได้อีก  จึงเกิดเป็นวงจรเกิดการสืบเนื่องต่อไปได้  ธรรมารมณ์ประเภทมโนกรรมนี้ เมื่อเรารู้เท่าทันสังขารขันธ์หรือมโนกรรมแล้วอุเบกขาเสีย  ธรรมารมณ์ก็ย่อมเกิดขึ้นใหม่อีกไม่ได้

เสียง    กระทบกัน เช่น ตาเห็นรูป หู  โสตะวิญญาณ  (การประจวบกันของปัจจัยทั้ง ๓ คือ) ผัสสะ  สัญญาจํา   เวทนา  สัญญาหมายรู้   สังขารขันธ์ [ anired06_next.gif เกิดสัญเจตนา(เจตนา,จงใจ) anired06_next.gif กรรม (คือ การกระทำทางใจ ต่างๆ) เช่นความคิดนึกต่างๆ(มโนกรรม) ซึ่งมักจะไปทำหน้าที่เป็นธรรมารมณ์ในกระบวนธรรมของขันธ์ ๕ ต่ออีกได้]

คือนำไปเป็นเหตุก่อ จึงเกิดการผัสสะของความคิดอีก ดังกระบวนธรรมจิตต่อไป

ธรรมารมณ์(จากสังขารขันธ์ชนิดทางใจข้างต้น)    กระทบกัน เช่น ตาเห็นรูป ใจ  มโนวิญญาณ  (การประจวบกันของปัจจัยทั้ง ๓ คือ) ผัสสะ  สัญญาจํา   เวทนา  สัญญาหมายรู้   สังขารขันธ์ [ anired06_next.gif เกิดสัญเจตนา(เจตนา,จงใจ) anired06_next.gif กรรม (คือ การกระทำทางกาย ทางวาจา หรือทางใจ ต่างๆ ได้ทั้งทางดี ชั่ว หรือกลางๆ))

สามารถดำเนินสืบต่อเนื่องไปได้เรื่อยๆอย่างยาวนาน

 

    ๒.จากสัญญาความจำ ที่นอนเนื่องอยู๋ ซึ่งย่อมสามารถผุดขึ้นมาเองได้ตามวิสัยของชีวิต  อาสวะกิเลสในปฏิจจสมุปบาทก็คือสัญญาความจำได้หมายรู้อย่างหนึ่งแต่เจือกิเลสที่นอนเนื่องอยู่ ก็เป็นสัญญาอย่างหนึ่งเช่นกัน  หรือจากการที่มีสิ่งกระตุ้นเร้ามากระทบก็เกิดการผุดระลึกจำขึ้นได้ ซึ่งความคิดนึกที่ผุดขึ้นนี้ก็ไปทำหน้าที่เป็นธรรมารมณ์ฝ่ายเหตุ  จึงทำให้สืบเนื่องหมุนเวียนต่อไป

 ธรรมารมณ์    กระทบกัน เช่น ตาเห็นรูป ใจ  มโนวิญญาณ  (การประจวบกันของปัจจัยทั้ง ๓ คือ) ผัสสะ  สัญญาจํา   เวทนา  สัญญาหมายรู้   สังขารขันธ์ [ anired06_next.gif เกิดสัญเจตนา(เจตนา,จงใจ) anired06_next.gif กรรม คือ การกระทำทางกาย ทางวาจา หรือทางใจ(มโนกรรม) ต่างๆ

 

    จึงเกิดการหมุนเวียนเป็นวงจรจนเกิดทุกข์ขึ้นได้ในที่สุด ดังภาพ

รูป หรือ ธรรมารมณ์ (คิดที่เป็นเหตุ เมื่อเกิดแล้วย่อมดำเนินไปตามเหตุ)    +    ใจ   anired06_next.gif   มโนวิญญูาณขันธ์    anired06_next.gif  เวทนาขันธ์

X มโนกรรม X                                   แสดงวงจรกระบวนธรรมการทำงานของขันธ์ทั้ง ๕                                               

สังขารขันธ์ (เกิดคิดที่เป็นผล(มโนกรรม) แม้ต้องรับผล ไม่สามารถดับได้ แต่อุเบกขาได้ จึงไม่ไปเป็นเหตุอีกได้)    สัญญาขันธ์

         ธรรมารมณ์ ก็มีทั้งฝ่ายดีและชั่วและกลางๆ เช่นกัน  ด้วยสามารถผุดนึกผุดจำขึ้นมาได้ตามวิสัยของชีวิต ฝ่ายชั่วได้แก่ธรรมารมณ์ที่ผุดเกิดมาแต่อาสวะกิเลสจึงเป็นสังขารกิเลส คือธรรมารมณ์ที่แฝงอาสวะหรือกิเลสอยู่ในที  จึงพึงต้องสังวรระวัง  เพราะธรรมารมณ์นั้นทำหน้าที่เป็น"องค์ธรรม สังขาร"ในวงจรปฏิจจสมุปบาท จิตจึงย่อมดำเนินไปตามวงจรปฏิจจสมุปบาทแทน  ฝ่ายดีก็ได้แก่ความคิดนึกในกิจการงาน ความคิดสร้างสรรค์,  ฝ่ายกลางๆก็ได้แก่ความคิดนึกที่ใช้ไปในการดำเนินชีวิตเป็นปกติธรรมดา   จึงกล่าวว่าธรรมารมณ์นั้นดับไม่ได้  และจะรู้ก็ต่อเมื่อเกิดเวทนาหรือสังขารขันธ์มโนกรรมขึ้นแล้ว  เมื่อควบคุมไม่ได้ เมื่อไปยึดไปอยาก จึงเป็นทุกข์,  สามารถมีสติรู้ทัน อีกทั้งมีปัญญาแยกแยะดีชั่วได้นั่นเอง เมื่อเห็นว่าเป็นโทษ แล้วไม่เอา หรืออุเบกขาเสียนั่นเอง

มโนกรรม  ธรรมารมณ์  และความคิดนึก

 

หัวข้อธรรม

กลับหน้าเดิม