ปฏิจจสมุปบาท มีเพียงวงจรเดียว
มีอีกสิ่งหนึ่งที่เกิดเป็นประจํากับนักปฎิบัติ คือมักจะคิดว่าตัวตนหรือตนเองมักจะมีอะไรที่แตกต่างกว่าคนอื่น เช่นคิดว่าเก่งกว่า คิดว่าด้อยกว่า คิดว่ามีบุญมากกว่า หรือเพราะประสบการณ์ไม่เหมือนกันบ้าง ของฉันเป็นอย่างนี้ ของเธอมันเป็นอย่างนั้นมันไม่เหมือนกัน ผู้เขียนอยากจะเรียนให้ทราบว่าเหล่านั้นล้วนเป็นมานะ หรือมิจฉาทิฏฐิหรือความคิดที่ไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง ผู้เขียนขอเรียนว่าวงจรปฏิจจสมุปาทอันเป็นวงจรของการเกิดขึ้นแห่งทุกข์นั้น มีเพียงวงจรเดียวเท่านั้น และเป็นเช่นนี้เท่านั้น เพราะเป็นปรมัตถธรรมอันเป็นจริงถึงขั้นสูงสุด เหมือนดังที่กล่าวว่า มิว่าจะมีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นกี่พระองค์ก็ตาม ก็ต้องตรัสรู้ในธรรมเดียวกันนั่นเอง เพราะเป็นธรรมหรือธรรมชาติอันสูงสุดในเรื่องของทุกข์ เพื่อใช้ในการดับทุกข์ จึงมิสามารถแปรผันเป็นอื่นไปได้ เป็นสภาวธรรมหรือธรรมชาติของชีวิต จึงเป็นอสังขตธรรม ที่แสดงความเป็นเหตุเป็นปัจจัยกัน จึงมีความเที่ยงและคงทนต่อทุกกาล มิเช่นนั้นแล้วต้องมีวงจรปฏิจจสมุปบาทเป็นล้านวงจร อย่างน้อยในปัจจุบันก็ ๖,๐๐๐-๗,๐๐๐ ล้านวงจรตามจํานวนประชากรของโลกอย่างแน่นอนถ้าเป็นไปตามคํากล่าวอ้าง ก็จะเปรียบดุจดั่งลายนิ้วมือของแต่ละบุคคลที่มีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง
เหล่านั้นล้วนแล้วแต่เป็นเพียงคํากล่าวตู่หรือกล่าวอ้างเพราะความไม่เข้าใจในธรรมอย่างแท้จริง ดังลายนิ้วมือนั้นเป็นเพียงรายละเอียดปลีกย่อยอันอยู่ในนิ้วมือของทุกผู้นามทุกคน อันคือจะมีลายนิ้วมือก็ต้องมีนิ้วมือเป็นหลักใหญ่เสียก่อนอย่างจริงแท้แน่นอน กระบวนจิตในการเกิดทุกข์และการดับไปแห่งทุกข์(ปฏิจจสมุปบาท)นั้นก็เป็นเช่นดุจนิ้วมือ อันจะดําเนินไปตามวงจรปฏิจจสมุปบาทซึ่งมีเพียงวงจรเดียวเป็นหลักใหญ่ฉันนั้นไม่ผิดเพี้ยน จึงแตกต่างตามคํากล่าวอ้างได้เพียงรายละเอียดปลีกย่อยของจิตเท่านั้น อันอุปมาดั่งลายนิ้วมือต้องอยู่บนนิ้วมือเป็นหลักใหญ่นั่นเอง หรืออุปมาดั่งถนนสายหลักใหญ่ที่มีเพียงสายเดียวเท่านั้น อันมีรถราวิ่งขวักไขว่หลายๆล้านคัน แต่ละคันก็ล้วนไม่เหมือนกัน แต่ละคันก็ขับไม่เหมือนกัน เร็วบ้าง ช้าบ้าง แวะจอดบ้าง แซงซ้ายแซงขวาบ้าง ตกถนนตายเสียก่อนบ้าง ล้วนไม่เหมือนกันแม้สักคันหนึ่ง แต่ทุกคันเหล่านั้นตามความเป็นจริงล้วนวิ่งอยู่บนถนนสายนั้นที่ไปสู่จุดหมายปลายทางเดียวกัน แต่ละคันแม้มีเอกลักษณ์และการขับขี่ที่ไม่เหมือนกันแต่หลักใหญ่ใจความสําคัญก็ล้วนต้องวิ่งหรือดําเนินไปตามถนนนี้ทั้งสิ้นโดยไม่แตกต่างกันที่ใจความสำคัญคือจุดมุ่งหมาย แตกต่างแต่เพียงรายละเอียดปลีกย่อยอันอุปมาได้ดั่งจิตของแต่ละบุคคลเช่นกัน
เหตุที่แจงนี้เพราะมักมีผู้คนที่คิดเช่นนี้เป็นส่วนใหญ่ อันนําพาไปสู่ความไม่เข้าใจในธรรมในที่สุด เพราะเมื่อเกิดวิจิกิจฉาสงสัยในธรรมหรือการปฏิบัติซึ่งย่อมต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดา แทนที่จะพิจารณาหรือโยนิโสมนสิการให้เข้าใจกระจ่าง สว่าง ขึ้นไปเป็นลำดับ กลับไปกล่าวอ้างกับตัวตนว่า ปฏิจจสมุปบาทคงไม่ถูกต้องหรือไม่ตรงกับของตัวของตน เพราะเหตุดังนั้น เพราะเหตุดังนี้เป็นต้น เมื่อเหตุแห่งทุกข์มากระทบอันย่อมต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ก็จะกล่าวอ้างแก่จิตของตนว่าเป็นดังนั้นว่าเป็นดังนี้ ซึ่งย่อมไม่ได้ผลแต่ย่อมก่อให้เกิดความสงสัยในธรรมขึ้นมาในที่สุด จึงเกิดความหยุดชงักหรือเปลี่ยนแปลงค้นคว้าหาวิธีใหม่อันไม่มีทางหาพบได ้เพราะมันเป็นทางเพียงสายเดียวเท่านั้น
|