ความไม่เที่ยง มีความเที่ยงเป็นธรรมดา
มิได้มีความขัดแย้งในธรรมกันแต่ประการใด ความไม่เที่ยง มีความหมายถึง สังขารสิ่งปรุงแต่งทั้งหลายทั้งปวงมีความไม่เที่ยงเป็นธรรมดาตามกฎพระไตรลักษณ์ ส่วนความเที่ยงนั้นหมายถึงอสังขตธรรมหรือสภาวะธรรม หมายถึง เป็นไปตามธรรมชาติ หรือมันต้องเป็นไปเช่นนี้เอง(ตถาตา) หรือเที่ยงแท้แน่นอน
ดังเช่นความตาย เมื่อกล่าวถึงความตายอันเป็นสภาวธรรมหรือธรรมชาตินั้น ย่อมมีความเที่ยงและคงทนอยู่อย่างนี้ในผู้มีชีวิตเป็นธรรมดา แต่เมื่อพูดถึงสังขารชีวิตที่เกิดมาแล้วย่อมมีความไม่เที่ยง ไม่สามารถคงทนอยู่ได้ ไม่รู้ว่าจะตายแต่เมื่อไร
![]()
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
เป็นสัจจธรรมที่เที่ยงแท้อยู่เยี่ยงนั้นเอง แต่ในปัจจุบันมีผู้ไม่เห็นเป็นไปเช่นนี้ จึงได้ยินทุภาษิตเป็นไปดังนี้อย่างแพร่หลายคือ ทำดีไม่ได้ดี ทำชั่วได้ดีมีถมไป เป็นเพราะความไม่เข้าใจธรรมหรือเกิดความน้อยเนื้อตํ่าใจ จึงมองเห็นแต่สภาวะความเป็นไปตามความเห็นเข้าใจของตน เช่น เห็นคนทำชั่วแล้วรํ่ารวยมีอำนาจเป็นต้น แต่ตามความเป็นจริงนั้นการทำดีนั้นยังย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว ไม่สามารถแปรผันเป็นอื่นได้ กล่าวคือ ย่อมเป็นไปตามผลกรรม(ผลของการกระทำ)นั่นเอง อุปมาดั่ง ปลูกข้าวย่อมได้ข้าว จะได้องุ่น เผือก มัน ย่อมเป็นไปไม่ได้ฉันใด ก็ฉันนั้น เพียงแต่ไม่เห็นตามความเป็นจริงว่า เมื่อปลูกข้าวแล้วแต่ไปอยากไปยึดให้มันรวยขายได้ราคาดี ตามความเป็นจริงแล้วเป็นคนละเหตุปัจจัยกัน ย่อมไม่สามารถเนื่องสัมพันธ์กันได้ แต่ด้วยความไม่รู้จึงไม่เห็นตามความเป็นจริง จึงคิดไปยึดเป็นไปดังนั้นเอง กล่าวคือ ไปมองเห็นหรือเข้าใจว่าทำดีแล้วไม่รวย หรือทำไมทำดีแล้วยังมีเหตุแห่งทุกข์มากระทบอีก หรือคนทำชั่วทำไมถึงรวย คือไปมองในมุมมองที่ผิดไม่ได้เป็นเหตุเป็นผลกัน มองตามความเห็นความเข้าใจของตนจึงเอาไปคิดว่าเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันด้วยความไม่รู้หรืออวิชชานั่นเอง และเพราะว่าวิบากกรรม(ผลที่ได้รับจากการกระทำ)เป็นอจินไตย ไม่สามารถระบุเฉพาะเจาะจงให้เป็นสูตรตายตัวได้เท่านั้นเอง ผลกรรมนั้นจึงเพียงไปแสดงออกในรูปแบบอื่นโดยไม่รู้เท่านั้นเอง ดังนั้นจึงอย่าท้อแท้ด้วยมิจฉาทิฏฐิ เพราะว่าทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว นั้นเป็นสภาวธรรมอันเที่ยงแท้แน่นอนเป็นที่สุด และเกิดขึ้นแก่จิต ณ ขณะนั้นโดยทันทีด้วยเช่นกัน
![]()
สังขาร
สังขาร คือ สิ่งปรุงแต่ง หรือสิ่งที่ถูกปัจจัยปรุงแต่งขึ้น กล่าวคือ สิ่งอันเกิดขึ้นจากการที่เหตุต่างๆ มาเป็นปัจจัยปรุงแต่งกันขึ้นมา เมื่อโยนิโสมนสิการพึงเห็นได้ว่ามิได้เกิดแต่เหตุหรือสิ่งๆเดียวกัน แต่มีเหตุหรือสิ่งต่างๆมากกว่าหนึ่งขึ้นไปมาประชุมปรุงแต่งกัน จึงมิใช่สิ่งๆเดียวกันอย่างแท้จริง แต่มาประชุมหรือมาประกอบกันขึ้น แต่เนื่องจากมิใช่สิ่งๆเดียวกันอย่างแท้จริงจึงมีความไม่เสถียร เพราะแรงบีบเค้นหรือแรงยึดแรงผลักระหว่างกันอันเป็นธรรมชาติ จึงต้องมีอาการแปรปรวน จึงไม่เที่ยงเป็นธรรมดา(อนิจจัง) ไม่สามารถควบคุมบังคับให้คงที่คงทนได้อย่างถาวรตลอดไป เมื่อไม่เที่ยงแปรปรวนไปเป็นธรรมดาอยู่เยี่ยงนั้นตลอดเวลา จนถึงที่สุดย่อมแปรปรวนเสื่อมถอยมาจนมาถึงสภาพสุดท้ายที่ต้องดับไปเป็นธรรมดา(ทุกขัง) จึงก่อให้เป็นทุกข์แก่ผู้ที่อยากด้วยตัณหาหรือยึดไว้ด้วยอุปาทาน เพราะความที่ต้องแปรปรวนและต้องดับไปเป็นที่สุด และต่างล้วนเป็นอนัตตา ไม่มีตัวตนที่เป็นแก่นแกนแท้จริง เพราะล้วนเกิดจากการประชุมปรุงแต่งกันของสิ่งต่างๆที่มิใช่สิ่งเดียวกัน จึงไม่สามารถคงสภาพตัวตนนั้นๆไว้ได้อย่างถาวรเที่ยงแท้ ดังนั้นเมื่อเหตุต่างๆอันมาประชุมปรุงแต่งกันนั้นแปรปรวนและเสื่อมถอยจนดับไปด้วยเหตุอันใด สิ่งนั้นๆหรือตัวตนจึงย่อมดับไปไ ม่มีความเป็นตัวตนหรือสิ่งนั้นๆอยู่อีกต่อไป จึงกล่าวว่า ไม่มีแก่นแกน อย่างแท้จริง......
![]()
ตัวกู ไม่ใช่ของกู
ตัวกู ยังไม่ใช่ของกู แล้วสิ่งทั้งหลายทั้งปวงจะเป็นของกู ได้อย่างไร
ตัวกู ยังสักแต่ว่าธาตุ๔ แม้ชีวิตของกู ก็สักแต่ขันธ์๕
ถ้าตัวกูเป็นของกูแล้วไซร้ ต้องควบคุมบังคับได้ตามปรารถนา
ไม่ใช่ควบคุมได้บ้าง ไม่ได้บ้าง
ไม่เป็นไปเพื่ออาพาธเจ็บป่วย
แต่เพราะตัวกู ไม่ใช่ของกู อย่างแท้จริง
จึงควบคุมไม่ได้ตามปรารถนา
เพียงแต่บางครั้งเป็นไปตามปรารถนา
จึงไปหลงคิดหลงยึดว่าเป็นตัวกูของกู
จึงเป็นทุกข์เป็นร้อนกันไปทั่วหล้า
ด้วยไฟแห่งอุปาทานทุกข์
ตัวกูยังไม่ใช่ของกู แล้วสิ่งทั้งหลายทั้งปวงจะเป็นของกูได้อย่างไร
![]()
ข้อน่าสังเกตุเวลาพิจารณาธรรมเรื่องสังขารหรือธรรมในพระไตรลักษณะ สังขารเท่านั้นที่อยู่ภายใต้กฏพระไตรลักษณ์ทั้ง๓ ที่ไม่เที่ยง(อนิจจัง) ทนอยู่ไม่ได้เป็นทุกข์(ทุกขัง) และอนัตตา, ส่วนธรรม,สภาวะธรรมหรือธรรมชาตินั้น อยู่ภายใต้กฏพระไตรลักษณ์เพียงข้อเดียว คือ อนัตตา คือไม่มีตัวตนเป็นแก่นแกนอย่างแท้จริง แต่ธรรมหรือธรรมชาติทั้งหลายนั้นเที่ยง จึงคงทนอยู่เยี่ยงนั้นเอง
![]()
โดยทั่วไปแล้วถ้าเราไปหาหมอเพื่อขอคำแนะปรึกษาว่า ควรรับประทานอาหารอะไร หมอทุกๆคนย่อมแนะนำโดยหลักพื้นฐานทั่วไป คือให้รับประทานอาหารครบทุกหมู่อย่างแน่นอน แต่ควรมีความเข้าใจด้วยว่าคำแนะนำนั้น ย่อมหมายถึงคนโดยปกติทั่วๆไป ย่อมมิได้หมายครอบคลุมถึงผู้ป่วยบางโรค ที่อาจต้องยกเว้นอาหารบางหมู่บางชนิดลง เพื่อประกอบการรักษา ในกรณีเดียวกันกับการปฏิบัติ โดยทั่วไปก็มักไปกราบไหว้หลวงปู่หลวงพ่อครูบาอาจารย์ ตลอดจนศึกษาจากการอ่านตามสื่อต่างๆ เพื่อขอคำแนะแนวในการปฏิบัติ ทุกท่านทุกองค์ย่อมแนะให้เจริญในศีล สมาธิ และปัญญา อันเป็นพื้นฐานสำคัญในการปฏิบัติ แต่การปฏิบัติสมถะสมาธิและการบริกรรมแม้เป็นสิ่งที่ดีที่สมควรปฏิบัติแก่นักปฏิบัติโดยทั่วไป แต่ในนักปฏิบัติบางท่าน เช่น มีอาการทางจิต หรือติดสุขหรือองค์ฌานต่างๆนั้น ก็ต้องละเว้นเป็นการชั่วคราวเช่นเดียวกันกับผู้ป่วยที่พึงต้องละเว้นอาหารบางชนิดเป็นธรรมดา จนกว่าจะแก้ไขอาการต่างๆให้ดีขึ้น จึงพึงควรเจริญปัญญาแต่ฝ่ายเดียวไปก่อน.....
![]()
ธรรมชาติของจิตและนํ้า
อันเป็นสภาวะโดยปกติธรรมชาติ(ปรมัตถ์)ที่เป็นจริงอยู่เช่นนี้
(เพื่อให้เห็นเป็นรูปธรรมหรือภาพพจน์ได้ชัดเจนขึ้น)
ธาตุจิตนั้นมีสภาวะธรรมหรือธรรมชาติเปรียบประดุจดั่งธาตุนํ้า
นํ้านั้นไร้รูปร่าง ไร้ขอบเขต สามารถแผ่ขยาย แปรปรวนไปตามสิ่งแวดล้อมหรือภาชนะที่บรรจุหรือรองรับ, จิตนั้นก็ไร้รูปร่าง ไร้ขอบเขต แปรปรวนไปตามอารมณ์ [สิ่งที่จิตยึดเหนี่ยว หรือสิ่งแวดล้อม(อายตนะภายนอก เช่น รูป เสียง ฯ.) ที่กระทบสัมผัส(ผัสสะ)นั่นเอง]
นํ้าประกอบด้วยเหตุปัจจัยต่างๆมาประชุมรวมกันชั่วระยะหนึ่งคือ H และ O คือมีอะตอมของ H และ O เป็นเหตุ มาเป็นปัจจัยแก่กันและกัน เกิดสิ่งที่เราเรียกว่านํ้า, จิตแม้เป็นนามธรรมก็เป็นสังขารสิ่งปรุงแต่งชนิดหนึ่ง จึงเกิดมาแต่เหตุมาเป็นปัจจัยแก่กันและกัน เฉกเช่นนํ้านั่นเอง และประกอบด้วยเหตุปัจจัยยิ่งมากหลายมาประชุมกันชั่วระยะหนึ่ง จิตประกอบด้วยปัจจัยต่างๆเช่น เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และส่วนหนึ่งของกาย ตลอดจนอารมณ์(สิ่งที่จิตยึดเหนี่ยวหรือกระทบสัมผัส เช่น รูป เสียง กลิ่น...)และปัจจัยต่างๆอีกมากมาย
นํ้ามีคุณสมบัติไหลลงสู่ที่ตํ่าเพราะแรงดึงดูดโลก, จิตก็มีคุณสมบัติเหมือนดั่งนํ้าที่ย่อมไหลลงสู่ที่ตํ่า แต่ตามแรงดึงดูดของความเคยชินที่ได้สั่งสมอบรม(สังขาร)หรือกิเลสตัณหาแลอุปาทานนั่นเอง, อันคือย่อมต้องหมุนไปตามภวจักรปฎิจจสมุปบาท เหมือนดังโลกย่อมหมุนรอบตัวเองนั่นเอง คือเป็นไปตามสังขารที่สั่งสมอบรมไว้
ถ้าเราต้องการยกระดับนํ้าให้สูงขึ้น ย่อมต้องออกแรงพยายามฉันใด, จิตจักยกระดับให้สูงขึ้นเป็นโลกุตระคือสภาวะเหนือจากทางโลกๆได้ ก็ย่อมต้องการการพยายามปฏิบัติฉันนั้น,
การยกระดับนํ้าให้สูงขึ้นต้องใช้ความคิดหาวิธีการและการปฏิบัติที่ถูกต้อง เช่นคิดใช้เครื่องกล,ภาชนะหรืออุปกรณ์ที่ถูกต้อง แล้วปฏิบัติดั่งนั้น จึงย่อมยกระดับนํ้าได้รวดเร็วฉันใด, จิตก็ย่อมต้องการการคิดเพื่อการปฏิบัติอย่างถูกต้องจึงจักยกระดับจิตให้สูงขึ้นได้เร็วฉันนั้น,
ธรรมชาติของนํ้า เดือดพล่านเพราะไฟอันเป็นของร้อนฉันใด, จิตย่อมเดือดพล่าน เร่าร้อน เพราะไฟ อันร้อนแรงของกิเลส ตัณหา อุปาทานที่เผาลนฉันนั้น อันล้วนมักเกิดจากเวทนาของการคิดปรุงแต่ง
นํ้าบริสุทธ์คือนํ้าที่ไม่มีสิ่งเจือปน, จิตบริสุทธ์ก็คือจิตเดิมแท้ที่ไม่เจือด้วยกิเลสตัณหาอุปาทานนั่นเอง หรือจิตเดิมแท้นั่นแหละคือจิตพุทธะ อันมีอยู่แล้วในทุกผู้คน เพียงแต่ถูกบดบัง เจือปนหรือครอบงําด้วยอาสวะกิเลส ตัณหา อุปาทาน จนไม่สามารถเปล่งแสงพุทธะในจิตเดิมออกมาได้
จึงช่างพ้องเหมาะสมกับคำว่า นํ้าจิต หรือนํ้าใจ เสียนี่กระไร
![]()
พระไตรลักษณ์
เพราะไม่เที่ยง เมื่อไม่เป็นไปตามปรารถนา จึงเป็นทุกข์
เพราะคงทนอยู่ไม่ได้ เมื่อไม่เป็นไปตามปรารถนา จึงเป็นทุกข์
เพราะไม่มีตัวตนเป็นแก่นแกนแท้จริง เกิดแต่เหตุปัจจัย จึงควบคุมบังคับให้เป็นไปตามปรารถนาไม่ได้ จึงเป็นทุกข์
ทั้งไม่เที่ยง ทั้งคงทนอยู่ไม่ได้ ทั้งไม่มีแก่นแกนถาวรอย่างแท้จริง ดังนั้นถ้าไปอยากหรือไปยึดว่าเป็นของตัวของตน ย่อมเกิดอุปาทานทุกข์อันเผาลนเร่าร้อนอย่างแน่นอน
![]()
|