อันเนื่องมาจาก "นั่นไม่ใช่เรา เราไม่ใช่นั่น นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา"
นั่นก็ไม่ใช่ของเรา เราก็ไม่ใช่ของนั่น นั่นก็ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนของเรา
เหล่านี้คือพุทธวจนะ คำสั่งสอนจากพระองค์ท่านเกี่ยวกับสังขารทั้งปวง ที่ล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เป็นปรมัตถธรรมหรือปรมัตถสัจจะ แต่โดยสมมติสัจจะก็ยังคงมีอยู่ พระองค์ท่านให้รู้ในปรมัตถสัจจะอย่างถึงที่สุดในสังขารทั้งปวงเพื่อให้เกิดปัญญาความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง โดยเจตนาให้เกิดนิพพิทา คลายความอยากหรือตัณหาในสังขารทั้งปวงอันล้วนเป็นไปตามกฏพระไตรลักษณ์ ที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ซึ่งเมื่อคลายอยากความกำหนัดหรือตัณหาลงไปแล้ว จึงย่อมยังผลให้คลายความยึดมั่นถือมั่นหรืออุปาทานในสังขารทั้งหลายทั้งปวงที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา อันเป็นไปตามปฏิจจสมุปบันธรรม
อันการจะเห็นได้ว่า นั่นไม่ใช่เรา เราไม่ใช่นั่น นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา ต้องพึงทำความเข้าใจในพระอนัตตาให้แจ่มแจ้งว่า ไม่ใช่ตัวใช่ตน หรือไม่มีตัวตนอย่างแท้จริง เพราะตัวตนทั้งหลายทั้งหลายทั้งปวงที่เห็นหรือผัสสะได้ ล้วนคือตัวตนที่เกิดจากเหตุหรือสิ่งต่างๆเป็นปัจจัยหรือประชุมปรุงแต่งกันขึ้น ตัวตนที่เห็นหรือรู้สึกจากการผัสสะด้วยอายตนะใดๆก็ตามที จึงล้วนเป็นเพียงก้อนหรือกลุ่มหรือเป็นมวลหรือเป็นฆนะหรือตัวตน ที่จำเป็นต้องขึ้นหรืออิงอยู่กับเหตที่มาเป็นปัจจัยกันให้เกิดขึ้น(ปฏิจจสมุปบันธรรม) กล่าวคือย่อมเปลี่ยนแปลงหรือแปรปรวนไปตามเหล่าเหตุที่มาเป็นปัจจัยที่ประชุมกันขึ้นมา ความจริงคือจึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับเรา จึงไม่ได้เป็นของเรา และความจริงยิ่งไปอีกก็คือเราย่อมควบคุมบังคับบัญชาตัวตนเหล่านั้นไม่ได้โดยตรงอีกด้วย ได้แต่บังคับหรือปรุงแต่งทางอ้อม จิตจึงถูกมายาล่อลวงอยู่เสมอๆจนย้อมจิตไปว่าเป็นเรา, เป็นของเรา, เป็นเจ้าเข้าเจ้าของในสิ่งนั้นๆอย่างจริงๆ หลงคิดไปผิดๆว่าบังคับบัญชาได้ตามปรารถนา, เหตุหรือสิ่งต่างๆที่มาเป็นปัจจัยกันนั้นจึงเป็นผู้ควบคุมบังคับอย่างแท้จริง
พระองค์ท่านมีพุทธประสงค์ให้ปฏิบัติกิจหรืองานตามเพศหรือฐานะหน้าที่แห่งตน แต่พร้อมทั้งการไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆให้เกิดทุกข์ ไม่ใช่ทิ้งกิจหรือหน้าที่แห่งตน จึงไม่ใช่ให้เกิดเป็นอวิชชาว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาไม่มีตัวตน จึงไม่ต้องสนใจไยดีในสังขารทั้งปวงเสียจนเสียการ กลับกลายเป็นโมหะหรืออวิชชาไปเสียก็มี โดยสมมติสัจจะก็ยังคงมีอยู่จริงแต่เพียงระยะหรือขณะหนึ่ง จึงไม่อาจทอดทิ้งในสิ่งอันควรได้เช่นกัน อันไม่เป็นประโยชน์อะไรแก่ใครๆและยังให้โทษแก่ตนเองและบุคคลอื่นโดยไม่รู้ตัวด้วยอวิชชา ดังนั้นพึงแต่อย่าติดเพลินหรือหลงไหลหรือหมกมุ่นหรือตัณหาในสิ่งที่ไม่เที่ยงเหล่านั้น เพราะย่อมยังให้เกิดอุปาทาน อันเป็นอุปาทานทุกข์ในที่สุด เพียงแต่ช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง เพราะล้วนเป็นอนัตตา ไม่ใช่ของตัวของตนอย่างแท้จริง เป็นตัวตนหรือกลุ่มก้อนของเหตุปัจจัยที่ประชุมกัน จึงไม่ใช่ของเราอย่างแท้จริง จึงย่อมควบคุมบังคับบัญชาให้เป็นไปตามปรารถนาไม่ได้ จึงย่อมยังให้เกิดทุกข์ขึ้นเป็นที่สุด เมื่อไม่เป็นไปตามปรารถนา
ส่วนในเพศบรรพชิตผู้ถือบวชนั้น ในช่วงการปฏิบัติธรรมเท่านั้น อุบายที่แปลว่าวิธี ที่ท่านให้ปลีกวิเวกหรือธุดงค์ ก็เพื่อระงับการผัสสะของอายตนะอื่นๆชั่วขณะ ให้คงเหลือเพียงแต่ใจ ก็เพื่อยังประโยชน์ในการเจริญวิปัสสนาให้เกิดปัญญาจนดับทุกข์ อย่างแจ่มแจ้งเสียก่อนเท่านั้นเอง
ดังนั้น ในฆราวาสทั้งหลาย จึงอย่าได้ทอดทิ้งหน้าที่หรือกิจอันควรตามฐานะตน มิฉนั้นก็จะกลายเป็นงมงายด้วยอวิชชาไปเสีย ต้องยอมรับว่าอาชีวะทุกข์ หรือทุกขเวทนาอันเป็นทุกข์โดยธรรมหรือธรรมชาตินั้นยังมีอยู่เป็นธรรมดา
อนึ่ง การบริกรรมท่องบ่นอย่างมีสติ,อย่างเข้าใจแจ่มแจ้งว่า นั่นไม่ใช่เรา เราไม่ใช่นั่น นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา อย่างสม่ำเสมอ เป็นการสร้าง อนัตตสัญญา ให้แนบแน่นขึ้น อันย่อมยังประโยชน์ยิ่งเป็นอัศจรรย์
ธรรมหรือสิ่งใด ล้วนเกิดแต่เหตุ เมื่อเหตุแปรปรวนหรือดับ ธรรมหรือสิ่งนั้นก็ย่อมแปรปรวนหรือดับไปตามธรรมหรือสิ่งอันเป็นเหตุ
รูปสังขารตัวตน นั่นก็ไม่ใช่เราหรือของเรา เราก็ไม่ใช่ของนั่น นั่นก็ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนของเรา
(เพราะรูปหรือกาย เป็นตัวตนหรือก้อนของเหตุคือธาตุ๔ จึงขึ้นหรืออิงอยู่กับธาตุ ๔ ความจริงจึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับเรา จึงไม่ใช่ของเราอย่างแท้จริง)
รูป ที่จักษุไปสัมผัส นั่นก็ไม่ใช่ของเรา เราก็ไม่ใช่รูปนั่น นั่นก็ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนของเรา
เวทนา นั่นก็ไม่ใช่เราหรือของเรา เราก็ไม่ใช่เวทนานั่น นั่นก็ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนของเรา
(เพราะเวทนา เกิดแต่เหตุคือผัสสะ จึงขึ้นกับผัสสะหรือเหตุที่ทำให้เกิดผัสสะ ความจริงจึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับเรา จึงไม่ใช่ของเราอย่างแท้จริง)
สัญญา นั่นก็ไม่ใช่เราหรือของเรา เราก็ไม่ใช่สัญญานั่น นั่นก็ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนของเรา
(เพราะสัญญา เกิดแต่เหตุคือสมองอันเป็นหทัยวัตถุส่วนหนึ่งของรูปขันธ์ และกรรมหรือการกระทำแต่อดีต ความจริงจึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับเรา จึงไม่ใช่ของเราอย่างแท้จริง)
สังขาร นั่นก็ไม่ใช่เราหรือของเรา เราก็ไม่ใช่สังขารนั่น นั่นก็ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนของเรา
(สังขารขันธ์ ก็ไม่ใช่เรา เกิดแต่เหตุคือขันธ์ ทั้ง ๔ ที่ปรุงแต่งกัน จึงขึ้นอยู่กับขันธ์ทั้ง ๔ จึงไม่ใช่เราหรือของเราอย่างแท้จริง)
วิญญาณ นั่นก็ไม่ใช่เราหรือของเรา เราก็ไม่ใช่วิญญาณนั่น นั่นก็ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนของเรา
(วิญญาณ เกิดเแต่การประจวบกันของอายตนะภายนอกและภายใน จึงขึ้นอยู่กับอายตนะนั้นๆ จึงไม่ใช่เราหรือของเราอย่างแท้จริง)
เพราะสังขารเหล่านี้ตามปรมัตถ์แล้ว ล้วนเกิดแต่มีเหตุ เป็นเหตุเป็นปัจจัยกันหรือปฏิจจสมุปบันธรรม
|