"ภิกษุทั้งหลาย  โพชฌงค์ ๗ ประการเหล่านี้   เป็นธรรมทําให้มีจักษุ   ทําให้มีญาณ

ส่งเสริมความเจริญแห่งปัญญา   ไม่เป็นข้างความคับแค้น    เป็นไปเพื่อนิพพาน"

สารบัญ

(สํ.ม. ๑๙/๕๐๒/๑๓๗)

คลิกขวาเมนู

        กุณฑลิยะ     :    ข้าแต่ท่านพระโคดมผู้เจริญ  ก็ธรรมเหล่าไหนที่บุคคลเจริญแล้ว  กระทำให้มากแล้ว  ย่อมยังวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์?

        พระพุทธเจ้า  :    ดูกรกุณฑลิยะ โพชฌงค์ ๗ อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมยังวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์.

        กุณฑลิยะ     :    ข้าแต่ท่านพระโคดมผู้เจริญ ก็(แล้วยังมี)ธรรมเหล่าไหนที่บุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว  ย่อมยังโพชฌงค์ ๗ ให้บริบูรณ์?

        พระพุทธเจ้า  :    ดูกรกุณฑลิยะ สติปัฏฐาน ๔ อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมยังโพชฌงค์ ๗ ให้บริบูรณ์.

(กุณฑลิยสูตร)

โพชฌงค์ ๗

        โพชฌงค์  ๗  ธรรมที่เป็นองค์แห่งการตรัสรู้ หรือองค์ประกอบให้ตรัสรู้  หมายถึง ธรรมหรือข้อปฏิบัติเพื่อยังวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์ กล่าวคือ ถึงที่สุดแห่งการดับทุกข์หรือการตรัสรู้  อันมี ๗ ประการ   ซึ่งเมื่อปฏิบัติอย่างถูกต้องดีงามก็ย่อมเป็นปัจจัยส่งเสริมเกื้อหนุนแก่กันและกันเพื่อการดับไปแห่งทุกข์หรือการตรัสรู้

        ๑. สติสัมโพชฌงค์   สติระลึกรู้เท่าทัน ความระลึกได้ นึกได้ ความระลึกได้ในกิจที่ทำ จำการที่ทำ และคำที่พูดแล้ว  ความไม่เผลอ  ความมีสติคุมใจหรือกํากับอยู่ในกิจหรืองานหรือธรรมที่ปฏิบัติในสภาวะปัจจุบัน ดังเช่น การมีสติอยู่ในการธัมมะวิจยะ, การมีสติระลึกรู้เท่าทันกายในปัจจุบัน(ที่กำลังเกิดขึ้น), การมีสติระลึกรู้เท่าทันเวทนาในปัจจุบัน(ที่เกิดขึ้น), ความมีสติระลึกรู้เท่าทันจิต(จิตเห็นจิต)ที่เกิดขึ้น จิตที่หมายถึงสังขารขันธ์(อาการหรืออารมณ์ต่างๆของจิตเช่นโทสะ โลภะ หดหู่ ฟุ้งซ่าน ฯ. ) หรือจิตตสังขาร(เช่นความคิดนึกปรุงแต่งมโนกรรมคืออาการของจิตที่ฟุ้งซ่านไปปรุงแต่ง)ในปัจจุบัน, ความมีสติระลึกรู้เท่าทันธรรมที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน

        อันสตินั้นจักเกิดขึ้นได้ดี จากการฝึกสั่งสมอบรมปฏิบัติดังสังขารอื่นๆ จนเป็นสัญญาจำได้หมายรู้ที่ประกอบด้วยปัญญา เช่นการอ่าน การเขียนหนังสือ การท่องแม่สูตรคูณ ฯ. ส่วนในทางธรรมก็ดังเช่นใน สติปัฏฐาน ๔ ที่เป็นเครื่องฝึกสติโดยอาศัยกาย เวทนา จิต ธรรม เป็นเครื่องฝึก จึงมีอานิสงส์ที่เนื่องสัมพันธ์ส่งเสริมโพชฌงค์ ๗ ให้บริบูรณ์ ดังพุทธดำรัสข้างต้น ด้วยเป็นเครื่องสนับสนุน(ปัจจัย)ให้มีสติ  เมื่อมีสติก็น้อมกระทำธัมมวิจยะ ด้วยปัญญาได้ดี ด้วยเมื่อมีสติ จิตย่อมไม่ฟุ้งซ่านออกไปทั่ว เหมือนดั่งโคที่ผูกกับหลักไว้ดีแล้ว  

        ๒. ธัมมวิจยะสัมโพชฌงค์ (ธัมมะวิจยะ) หรือธรรมวิจัย   ความสอดส่อง การสืบค้นธรรม, การวิจัยหรือค้นคว้าพิจารณาในธรรมอย่างหาเหตุหาผล(ไม่ใช่จากการน้อมเชื่อ) อันครอบคลุมถึงการเลือกเฟ้นธรรมที่ถูกต้อง ดีงาม ถูกจริต  เป็นการค้นคว้า การพิจารณา การไตร่ตรองด้วยปัญญา หรือการโยนิโสมนสิการ ให้เกิดความรู้ความเข้าใจอย่างถูกต้อง ตามความเป็นจริง อันย่อมต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจในธรรมอย่างปรมัตถ์ (สภาวธรรมชาติ โดยเฉพาะของเรื่องทุกข์ ก็เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการดับทุกข์นั่นเอง) จึงต้องไม่ใช่เป็นไปตามความน้อมเชื่อ การบอกเล่า การอ่าน การฟัง หรือความอยากของตน หรือด้วยอาการอธิโมกข์ใดๆ แต่ต้องเกิดจากการพิจารณา,วิจัย,สืบค้น จนเห็นเข้าใจได้ด้วยตนเอง ตามความเป็นจริงตามเหตุผล กล่าวคือ ธรรมที่บุคคลเลือกเฟ้นตรวจตราถึงด้วยความพินิจพิจารณาด้วยปัญญา เป็นธัมมวิจยสัมโพชฌงค์  เจริญธัมมวิจยะดีแล้วย่อมเกิดสัมมาปัญญาความเข้าใจขึ้นไปเป็นลำดับ  ซึ่งเป็นกำลังสำคัญที่สุดในการดับทุกข์

        อนึ่งธัมมวิจจยะ หรือการคิดนึกในการพิจารณาในธรรมโดยแยบคาย ซึ่งย่อมเป็นการคิดนึกวนเวียนเหมือนดั่งปรุงแต่งวุ่นวายนั้น ไม่นับว่าเป็นการคิดนึกปรุงแต่ง(อุทธธัจจะ)แต่อย่างใด แต่เป็นสิ่งที่ควรทำให้เจริญยิ่งๆขึ้น  เพราะเป็นที่อยู่อันควรของจิตอันดียิ่งอีกด้วย ด้วยไม่ส่งเสริมให้จิตส่งส่ายออกไปคิดนึกปรุงแต่งในสิ่งเป็นอกุศลหรือกิเลสอื่นๆอีกด้วย  อีกทั้งส่งเสริมให้เกิดปัญญา(ญาณ)ขึ้นได้ทั้งโดยรู้ตัวหรือค่อยเป็นค่อยไปโดยไม่รู้ตัวก็ดี,  เพราะบางท่านไปตีความเอาเสียว่า การมัวคิดพิจารณาในธรรมก็ถือว่าเป็นความคิดนึกปรุงแต่งไปเสียด้วยก็มี ซึ่งเป็นการเข้าใจที่ผิด,  จงหยุดแต่การคิดนึกปรุงแต่งฟุ้งซ่าน

        อีกประการหนึ่ง ธัมมวิจจยะสามารถใช้เป็นอารมณ์(จิตกำหนดหมาย) ในการเจริญวิปัสสนาสมาธิอย่างดีงามยิ่ง แทนคำบริกรรมท่องบ่น หรือลมหายใจ ฯ.ได้ดียิ่ง และยังสามารถทำให้เกิดธรรมสามัคคีให้เกิดญาณ(ปัญญา)ได้ดีกว่าอารมณ์(สิ่งที่จิตกำหนดหมาย)ใดๆทั้งสิ้น  สามารถทำได้ในทุกอริยาบถ  และเป็นที่อยู่อันควรยิ่งของจิต และยังทำให้ไม่ส่งจิตออกไปส่งส่ายหาเรื่องหาราวด้วยกิเลสให้เกิดนิวรณ์ต่างๆ

        เมื่อมีสติพร้อม แล้วนำสติไปในการวิจัยค้นคว้าพิจารณาในธรรมต่างๆ(ธัมมะวิจยะ) ดังเช่น ธรรมในกาย เวทนา จิต ธรรม ด้วยปัญญา เมื่อพิจารณาด้วยความเพียรย่อมยังให้เกิดความรู้ความเข้าใจตามความเป็นจริงในสภาวธรรมหรือธรรมต่างๆขึ้นเป็นลำดับ  จึงไม่ได้เห็นเป็นไปตามความอยาก, ความเชื่อ, การอ่าน, การฟังแต่อย่างเดียว ฯ. ดังเช่นแต่กาลก่อน,  ดังเช่น  การพิจารณาธรรมจนเข้าใจใน ความเป็นเหตุปัจจัย  ปฏิจจสมุปบาท  พระไตรลักษณ์  อริยสัจ๔  ขันธ์๕  สติปัฏฐาน๔ ฯลฯ.  ที่เมื่อเกิดความเข้าใจจากการธัมมะวิจยะ ปัญญาย่อมสว่างกระจ่างขึ้น เกิดปัญญาพละ ก็ย่อมรู้คุณ จึงเป็นปัจจัยเครื่องสนับสนุนน้อมให้เกิดวิริยะความเพียร,   

        สติระลึกรู้ จึงใช้ทั้งสติรู้เท่าทัน คือระลึกรู้เท่าทันตามสภาวะปัจจุบันได้ คือทั้งสติรู้เท่าทันในกายที่เกิดขึ้นในสภาวะปัจจุบัน เช่น กิน นอน เดิน นั่ง ลมหายใจ ฯ. (คือแค่ระลึกรู้อยู่ในที  จึงเป็นเครื่องอยู่อันดีของจิตอีก จึงระงับดำริพล่าน   ด้วยไม่ส่งส่ายไปฟุ้งซ่าน  สติระลึกรู้นั้นไม่ถึงขนาดแน่วแน่ในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งดังสมถสมาธิที่ทำให้สงบระงับไม่รับรู้ไม่สนใจในสิ่งอื่นใด) และอีกทั้งสติ ที่น้อมนำไปเป็นเครื่องหนุนการธัมมะวิจยะ เช่นการมีสติระลึกรู้ในธรรม ของกาย เช่น กายไม่เที่ยง เป็นทุกข์เพราะคงสภาพอยู่ไม่ได้ เป็นอนัตตาไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา จึงควบคุมบังคับไม่ได้, เป็นของปฏิกูล ฯ. สติระลึกรู้เท่าทันเวทนาดัง สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา อย่างใดอย่างหนึ่งย่อมต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดาเมื่อเกิดการผัสสะ  หรือการมีสติรู้ในธรรม ของเวทนา ว่าเวทนาไม่เที่ยง  เป็นทุกข์เพราะคงสภาพอยู่ไม่ได้ เป็นอนัตตาไม่ใช่เราไม่ใช่ของเราจึงควบคุมบังคับไม่ได้, มันเกิดขึ้นเช่นนี้เองเมื่อมีการผัสสะ, หรือสติระลึกรู้ว่า เวทนา,แม้ทุกขเวทนาคงมีอยู่เป็นธรรมดาหรือเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ฯ.  สติระลึกรู้เท่าทันจิต (สังขารขันธ์ หรือจิตตสังขาร เรียกรวมๆว่าจิต) เช่น โลภ โกรธ หลง หดหู่ คิดฟุ้งซ่าน ฯ. หรือการมีสติรู้ในธรรม ของจิต เช่น จิตคือจิตตสังขาร(คิด)หรือสังขารขันธ์ล้วนไม่เที่ยง  เป็นทุกข์เพราะคงสภาพเดิมอยู่ไม่ได้  เป็นอนัตตาไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา จึงควบคุมบังคับไม่ได้, อีกทั้งสังขารขันธ์ทั้งหลายยังคงมีอยู่เป็นธรรมดา แต่ไม่เอาไปปรุงแต่งต่อหรืออุเบกขาสัมโพชฌงค์,  สติระลึกรู้เท่าทันธรรมต่างๆที่เกิดในปัจจุบันจิต หรือสติรู้เท่าทันธรรม ของธรรม ว่าธรรมแม้เที่ยง ไม่แปรปรวน แต่ก็เป็นอนัตตา 

        ๓. วิริยสัมโพชฌงค์  ความเพียร ท่านหมายถึงความเข้มแข็ง ความพยายาม บากบั่น สู้กิจ ไม่ย่อหย่อน ความแกล้วกล้า ไม่ท้อถอยต่อการปฏิบัติ หรือการพิจารณาธรรม(ธัมมวิจยะ)แม้เผชิญอุปสรรค ความยุ่งยาก ความลำบาก  ตลอดจนการเพียรยกจิตไม่ให้หดหู่ ไม่ท้อแท้ ไม่ท้อถอย,  ซึ่งเมื่อเกิดความเข้าใจในธรรมจากการพิจารณาธรรม(ธัมมะวิจยะ) ย่อมเป็นสุข ย่อมเห็นคุณเห็นประโยชน์ของการปฏิบัติหรือการธัมมะวิจยะ  เมื่อเกิดความเข้าใจ อุปาทานทุกข์(ทุกข์)ต่างๆย่อมลดน้อยถอยลงหรือเบาบางลง  จึงควรมีความเพียรเป็นเครื่องอยู่เนืองๆ  

        เมื่อเห็นคุณของธัมมวิจยะ ย่อมปฏิบัติด้วยความเพียร เมื่อปฏิบัติด้วยความเพียร อย่างแน่วแน่ ย่อมยังให้เกิดปัญญารู้แจ้งเห็นจริงขึ้นเป็นลำดับ ย่อมเป็นปัจจัยครื่องหนุนให้เกิดปีติ

        ๔. ปีติสัมโพชฌงค์ เมื่อมีสติพิจารณาในธรรม ด้วยความเพียรจนเกิดผลคือเกิดปัญญา(ญาณ)บางประการขึ้น หรือปีติที่พึงเกิดจากการใช้ธัมมวิจยะ(การพิจารณาธรรมได้อย่างแน่วแน่)เป็นอารมณ์กำหนดหมาย จึงเกิดปีติ ความอิ่มเอิบ อิ่มใจ  ความดื่มดํ่า ใจฟู  ความแช่มชื่น  ความปลาบปลื้ม อันพระองค์ท่านได้ตรัสไว้ว่าปราศจากอามิส (ไม่เจือด้วยกิเลส)ขึ้นเป็นธรรมดา จากการเข้าใจธรรม  (จึงมิได้หมายถึง ปีติ ชนิดมีอามิส ความอิ่มเอิบ อันเกิดแต่การตั้งใจอยากได้ อยากเสพ อยากให้เกิดขึ้น จากการปฏิบัติฌานสมาธิแล้วตั้งใจหรืออยากให้เกิดขึ้น จึงเกิดการติดเพลิน, ติดสุข ในที่สุดทั้งโดยรู้ตัวก็ดี หรือไม่รู้ตัวก็ดี มีผลทั้งสิ้น อันมักแสดงออกโดยอาการจิตส่งใน  เพราะปีติมีอามิสหรือติดเพลินนี้ยังให้โทษในภายหน้าแต่อย่างเดียว อันจัดเป็นหนึ่งในวิปัสสนูปกิเลส ธรรมคือสิ่งที่กั้นคุณธรรมความดี)

        เมื่อวิริยะ อย่างแน่วแน่ในธรรมที่พิจารณา(ธัมมวิจยะ) ไม่ซัดส่ายสอดแส่ไปฟุ้งซ่านในสิ่งอื่นๆ หรือเมื่อเกิดความเข้าใจธรรมหรือธรรมสามัคคี ย่อมบังเกิดอาการปีติความอิ่มเอิบ อิ่มใจ ความแช่มชื่นขึ้น  ซึ่งเมื่อความอิ่มเอิบ ความแช่มชื่นจางคลายไป ย่อมเป็นปัจจัยเครื่องสนับสนุนให้เกิดปัสสัทธิ กายและจิตสงบระงับ คือเกิดความสงบกายสงบใจ  

        ๕. ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์  ความสงบกายและความสงบใจ ความผ่อนคลายกายใจ อันเกิดแต่ปีติสุขที่ระงับไป,  เมื่อปีติความแช่มชื่น ความอิ่มเอิบ อันเกิดแต่ความเข้าใจกระจ่างสว่างในธรรมสงบระงับลงแล้ว ย่อมยังผลให้เกิดการผ่อนคลาย กล่าวคือ เกิดความสงบกายสงบใจเป็นผลตามมา  เมื่อไม่เครียด ไม่กระวนกระวาย ไม่กังวล กายใจย่อมมีความโปร่ง เบาสบายเป็นสุข เป็นไปโดยธรรมหรือธรรมชาติ จึงเป็นเช่นนี้เอง  ดังมีพระดำรัสที่ว่า "เมื่อกายสงบระงับ ย่อมเกิดความสุข  จึงเกิดการเสวยสุข ขยายความ" เป็นเหตุเป็นผลกันโดยธรรม(ธรรมชาติ)

        เมื่อกายสงบระงับแล้วย่อมเป็นสุข  เมื่อเป็นสุขสงบแล้ว จิตย่อมไม่ซัดส่าย จึงตั้งมั่น(สมาธิ)ในกิจต่างๆได้ดี  จึงเป็นปัจจัยเครื่องสนับสนุนน้อมนำให้เกิดสมาธิสัมโพชฌงค์จิตตั้งมั่นขึ้น  

        ๖. สมาธิสัมโพชฌงค์  ความมีจิตตั้งมั่น ตั้งใจ จิตแน่วแน่ในกิจที่ทำ ใจอยู่กับกิจ จิตอยู่กับงาน ดังพุทธดำรัสที่ว่า เมื่อมีปีติในใจ กายย่อมสงบ เธอมีกายสงบแล้ว ย่อมได้เสวยสุข  เมื่อมีสุข จิตย่อมตั้งมั่น แน่วแน่ (กล้าหาญ เด็ดเดี่ยว เข้มแข็ง) เพราะเมื่อสงบไม่ซัดส่ายสอดแส่ไปฟุ้งซ่านหรือปรุงแต่งให้เกิดทุกข์จาการผัสสะใดๆ ย่อมพบสุข  จึงมีจิตหรือสติตั้งมั่นอยู่กับกิจหรืองานที่ทําได้ดี จึงย่อมมีกำลังมาก อันเป็นไปตามธรรมหรือธรรมชาติ นั่นเอง เช่น  มีสติตั้งมั่นอยู่กับกิจหรืองาน หรือธรรมที่พิจารณา(ธัมมะวิจยะ) หรือการปฏิบัติได้อย่างตั้งมั่น ต่อเนื่อง ไม่ซัดส่าย ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่วอกแวก ดังเช่น มีสติอยู่กับงาน มีสติระลึกเท่าทันเวทนา หรือมีสติระลึกรู้เท่าทันจิต(อาการของจิต) เช่น รู้เท่าทันอาการปรุงแต่งหรือรู้เท่าทันว่าฟุ้งซ่านไปภายนอกอยู่เนืองๆ  คือมีจิตตั้งมั่นนั่นเอง,  การที่เราทำสมาธิและณานนั้น ก็เป็นไปเพื่อฝึกให้เกิดจิตตั้งมั่นหรือความตัั้งใจมั่นขึ้นเพื่อการนี้นั่นเอง   เพราะจิตตั้งมั่นนั้นย่อมเป็นกําลังแห่งจิต ที่ทําให้จิตเข้มแข็งขึ้น ก็เนื่องเพราะความตั้งมั่นไม่ซัดส่ายไปสอดแส่ให้เกิดทุกข์ในเรื่องต่างๆนั่นเอง เมื่อจิตที่ซัดส่ายรวมเป็นหนึ่งย่อมมีกำลังมาก จึงมีกำลังมาก  จึงย่อมยังให้การปฏิบัติตามความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องนั้น(ปัญญา)เป็นไปอย่างมีกําลัง  ดังนั้นสมาธิในสัมโพชฌงค์จึงหมายถึง การมีจิตตั้งมั่นในการปฏิบัตินั่นเอง  เป็นจิตชนิดที่มีสติปราดเปรียวว่องไว ที่เมื่อระลึกรู้เท่าทันในสิ่งใดได้เนืองๆ เมื่อปัญญาเห็นว่าเป็นโทษก็ปล่อยวาง โดยการอุเบกขาสัมโพชฌงค์องค์สุดท้ายของโพชฌงค์ ๗

        สมาธิในโพชฌงค์ จึงเป็นสมาธิเพื่อการวิปัสสนา  ไม่ใช่ดั่งการปฏิบัติสมถสมาธิ ที่เน้นการมีสติแนบแน่นหรือแน่วแน่อยู่กับอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งคือสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่กำหนดเท่านั้นอย่างแนบแน่น ไม่ปล่อยวาง ที่เมื่อสติจางคลายหรือขาดไปแล้ว มีองค์ฌานต่างๆหรือสมาธิเป็นผลให้เกิดความสุขสงบสบายขึ้น แต่ย่อมเป็นไปในขณะหรือระยะหนึ่งๆที่อยู่ในสมาธิเท่านั้น  จึงยังจัดว่าเป็นเพียงวิกขัมภนวิมุตติ   จึงควรทำความเข้าใจให้ถูกต้องด้วยว่า สมถสมาธิหรือฌานที่ปฏิบัติกันทั่วไป อันมีมาแต่โบราณกาลแม้ในหมู่พราหมณ์ ก่อนพุทธศาสนาเสียอีกนั้น  ในทางพุทธศาสนาแล้วก็เพื่อเป็นบาทฐานเพื่อนำไปเจริญวิปัสสนา คือการเจริญปัญญาต่อไป  กล่าวคือ สมาธิสัมโพชฌงค์ คือสมาธิชนิดสัมมาสมาธิในองค์มรรคที่มีจิตตั้งมั่น แน่วแน่ ไม่ซัดส่าย อย่างต่อเนื่องในกิจที่ทำ เป็นกำลังอันดียิ่งของจิต

        เมื่อจิตตั้งมั่น (ไม่ใช่ดั่งสมถสมาธิ) จิตย่อมมีกำลัง  เพราะการระงับดำริพล่าน  ด้วยจิตที่ซัดส่ายไม่ตั้งมั่น ก็อุปมาดั่งเรื่อง"พ่อสอนลูก"ในนิทานอิสป ที่สอนลูกๆให้พิจารณาลองหักแขนงไม้ไผ่แต่ละอัน (ที่อุปมาได้ดั่งจิตที่ซัดส่ายไปในความคิดนึกต่างๆนาๆหลายทิศหลายทางตามการผัสสะ)  ซึ่งย่อมสามารถหักได้อย่างง่ายดาย ไม่มีกำลังพอจะต้านทานแรงที่กระทำได้  แต่เมื่อนำแขนงไม้ไผ่ย่อยๆหลายๆอันนั้นมามัดรวมกันเป็นหนึ่งเดียวแล้ว ย่อมหักไม่ได้อีกต่อไป เพราะแขนงไม้ไผ่ที่มัดรวมกันเป็นหนึ่งแล้วนั้นย่อมมีกำลังมาก  จิตก็เป็นไปในลักษณาการเฉกเช่นนั้น จิตที่ซัดส่ายออกไปหลายๆเรื่องหลายๆทาง เมื่อหยุดการซัดส่ายสอดแส่เสียแล้ว เมื่อรวมกันเป็นเพียงหนึ่งเดียวจึงมีกำลังมากดังแขนงไม้ไผ่เล็กๆที่มัดรวมกันเป็นหนึ่งเช่นกัน,  และยังประกอบด้วยปัญญาพละที่เกิดจากการเห็นเป็นไปตามความเป็นจริงด้วยตนเอง จากการสั่งสมอบรมจากการธัมมวิจยะด้วยความเพียร จึงยิ่งเป็นปัจจัยเครื่องสนับสนุนคือกำลังของจิตในการน้อมนำไปในการอุเบกขา เพราะความที่ย่อมมีปัญญาพละจากการรู้เหตุรู้ผลด้วยตนเองตามความเป็นจริง คือไม่ใช่การวางเฉยด้วยการบังคับนิ่งๆเฉยๆโดยไม่รู้ความ

        ด้วยมีกำลังของปัญญาหรือปัญญาพละ อันแจ่มแจ้งจากการพิจาณา(ธัมมะวิจยะ)จนเกิดความรู้ความเข้าใจยิ่งด้วยตนเอง ดังเช่นว่า เมื่อเกิดการกระทบกันทุกครั้งทุกทีไปของอายตนะภายนอกและภายใน ย่อมเกิดวิญญาณ เกิดการผัสสะกันขึ้น แล้วย่อมยังให้เกิดผล คือเวทนาต่างๆ และสังขารขันธ์ต่างๆ(โกรธ หดหู่ ฟุ้งซ่าน รำคาญใจ ฯ.)ขึ้นเป็นธรรมดาทุกครั้งทุกทีไปเช่นกัน(มันเป็นเช่นนี้เอง)  ดังนั้นจึงรู้ดียิ่งว่า เมื่อสติระลึกรู้ในเหตุอันเป็นโทษแล้วถ้ายังปล่อยจิตให้ฟุ้งซ่านต่อไป ย่อมเป็นการเปิดโอกาสให้เกิดเวทนาต่างๆ อีกทั้งสังขารขันธ์ต่างๆ อย่างต่อเนื่องให้เป็นทุกข์ต่อไปอีกยาวนานนั่นเอง  และเมื่ออุเบกขาในเรื่องนั้นๆแล้ว เวทนาและสังขารขันธ์ทุกข์นั้นๆย่อมต้องเสื่อมจนดับไปด้วยอำนาจธรรมนิยาม  ดังนั้นเมื่อประกอบด้วยจิตตั้งมั่นและปัญญาพละดังนี้ ที่รู้เหตุรู้ผลอย่างแจ่มแจ้ง จึงมีกำลังมาก 

        ๗. อุเบกขาสัมโพชฌงค์  มีสมาธิคือความตั้งมั่นหรือแน่วแน่ เข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว ในการอุเบกขาสัมโพชฌงค์ คือ การวางใจเป็นกลาง วางใจเฉย แต่ไม่ใช่ความรู้สึกที่พยายามหรือบังคับให้เกิดขึ้นเป็นกลางหรือเฉยๆ คือเมื่อมีทุกข์จรเข้ามากระทบแล้วต้องรู้สึกเฉยๆนิ่งๆ คือมักคิดหรือเข้าใจกันไปเองว่า ถ้าปฏิบัติดีปฏิบัติชอบปฏิบัติถูกต้องแล้ว ความรู้สึกหรือความนึกคิดต้องเป็นแบบเฉยๆหรือเป็นกลางๆ  คือเข้าใจผิดไปเองว่าถ้าปฏิบัติถูกต้องแล้ว คือต้องไม่มีความรู้สึกสุขทุกข์ใดๆเกิดขึ้นเมื่อมีการกระทบอันจรมากระทบเข้าโดยธรรมชาติ  จะต้องเป็นสุข หรือสงบถ้าปฏิบัติอย่างถูกต้องแท้จริง อันเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน  จึงมักพากันหงุดหงิดใจตลอดจนเกิดวิจิกิจฉาต่างๆนาๆขึ้นเมื่อมีทุกข์ใดจรมากระทบ แล้วยังเกิดสังขารขันธ์หรือความคิดฝ่ายอกุศลต่างๆ(มโนกรรม)ยังคงเกิดขึ้นได้อยู่  เพราะแท้จริงแล้วอุเบกขาหมายถึง ความเป็นกลาง วางทีเฉย ที่เมื่อสติเห็นในโทษนั้นๆของ เวทนาต่างๆ หรือสังขารขันธ์หรือจิตต่างๆ(มโนกรรม) เช่น โลภ โกรธ หลง หดหู่ ความคิดฟุ้งซ่าน(คือมโนกรรม) ฯ. เมื่อสติรู้เท่าทันในสิ่งนั้นๆแล้ว จึงวางใจเป็นกลาง วางทีเฉย  หมายถึงย่อมรับรู้อยู่ตามความจริงหรือยอมรับตามความจริง  แต่ละเสียโดยการตั้งมั่นวางเฉย คือปล่อยวางโดยอาศัยกำลังของจิตอันเกิดแต่สติ, สมาธิ และปัญญานั่นเอง   วางเฉย ที่หมายถึง เกิดความรู้สึกหรือคิดอย่างไร ก็ต้องเป็นอย่างนั้นเป็นธรรมดา จึงไม่ต้องฝืนเพราะมันเป็นไปตามธรรมคือตามเหตุปัจจัยเช่นนั้นเอง ไปฝืนหรืออยากละมันเสีย ก็คือพ่ายแพ้หรือตัณหา  แต่ต้องมีสติ และตั้งใจกระทำหรือปฏิบัติ เป็นกลางด้วยการไม่ไปคิดนึกปรุงแต่งต่อ ไม่สอดแส่ไปในสังขารขันธ์(โลภ โกรธ หลง ฯ.)อีกทั้งมโนกรรมที่เกิดขึ้นมานั้น  ไม่ว่าจะในทางดีหรือชั่ว(ทางร้าย) กล่าวคือไม่คิดเอนเอียง ไม่สอดแส่ ไม่ซัดส่าย ไม่ยึดมั่นในสิ่งใด คือ ไม่ไปปรุงแต่งด้วยถ้อยคิด หรือกริยาจิตใดๆ ในเวทนา[ความรู้สึกรับรู้เมื่อเกิดการกระทบผัสสะอันอาจถูกใจ(สุขเวทนา)หรือไม่ถูกใจ(ทุกขเวทนา)]ที่เกิดขึ้น หรือในสังขารขันธ์หรือมโนกรรมคิดต่างๆที่เกิดขึ้น เช่น จิตฟุ้งซ่าน ,จิตมีโทสะ จิตหดหู่ ฯ.  อีกทั้งไม่ปรุงแต่งคือปล่อยวางถ้อยคิดหรือความคิดนึกต่างๆ เช่น การคิดปรุงแต่งหรือการเอนเอียงไปคิดเห็นว่าสิ่งนั้นถูกหรือสิ่งนั้นผิด,  ไม่ปรุงแต่งทั้งในบุญหรือบาป,  ไม่ปรุงแต่งไปทั้งดีหรือชั่ว, ไม่ปรุงแต่งว่าเราถูกหรือเขาผิด,  เกิดความรู้สึกอย่างไรก็เกิดอย่างนั้น ไม่เป็นไร เป็นเรื่องปกติที่ถูกต้องเป็นธรรมดาตามธรรมหรือธรรมชาติอันดีงามแล้ว  แต่เพียงต้องวางจิตหรือสติหรือความคิดให้เป็นกลางด้วยการกระทำ ด้วยการวางทีเฉย  บรรดาทุกข์ที่เกิดขึ้นเมื่อขาดเหตุปัจจัยให้เกิดสืบเนื่องต่อไป ก็ย่อมต้องเสื่อมคลายและดับไปเป็นที่สุดด้วยอำนาจธรรมนิยาม   เพราะการที่ไปปรุงแต่งแม้จะเป็นสิ่งที่ดีหรือสิ่งที่ถูกก็เป็นทุกข์ (แยกแยะให้เข้าใจความหมายถูกต้องด้วย มิได้หมายถึงการไม่ทําความดี แต่หมายถึงการไปคิดนึกปรุงแต่ง แล้วยึดว่าถูก ว่าดี อย่างนั้น อย่างนี้ ฯ.  ด้วยปัญญารู้ดีว่าย่อมล้วนยังให้เกิดเวทนาขึ้นอีกแล้วเกิดสังขารขันธ์ต่างเป็นมโนกรรม คือเมื่อเกิดความคิดขึ้นใหม่ๆผัสสะอีก อันย่อมยังผลเกิดเวทนาต่างๆขึ้นอีกทั้งสิ้น อันล้วนอาจเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา อุปาทาน ชาติอันคือสังขารขันธ์อันเป็นทุกข์ขึ้นในที่สุด) ดังเช่น เราเป็นคนดีมากๆ ช่วยเหลือเกื้อหนุนบุคคลคนหนึ่งอย่างมากๆ เป็นความดีชนิดบริสุทธิ์ใจ  แต่แล้วบุคคลคนนั้นกลับกระทำการสิ่งที่ไม่ดีต่างๆนาๆต่อเราต่างๆนาๆ  เพียงแต่เราคิดปรุงแต่งหรือกระทำโดยอาการพิรี้พิไรรำพันโอดครวญหรือรำลึกในความดีของเรา หรือความชั่วของเขาในเรื่องนั้นๆขึ้นมา ที่แม้เป็นจริงอย่างที่สุดก็ตาม  ท่านก็ย่อมต้องเป็นผู้เสวยทุกข์ขึ้นทันที   ความดีที่เรากระทำอยู่นั้น เราย่อมได้รับอยู่แล้ว เพียงแต่อาจโดยไม่รู้ตัว  แต่เมื่อใดที่เราไปคิดยึดมั่นในความดีด้วยกิเลส คือไปอยากให้ความดีนั้นตอบแทนหรือเห็นผล  ก็ย่อมเกิดอุปาทานทุกข์อันเร่าร้อนเผาลนขึ้นแทนทันที   ด้วยเหตุฉะนี้ จึงมักได้ยินพระอริยเจ้าท่านมีคำกล่าวอยู่เนืองๆว่า ไม่ยึดดี ไม่ยึดชั่ว เป็นกลางวางทีเฉย

        อุเบกขาสัมโพชฌงค์ จึงอุปมาได้ดั่งกรรมการผู้ตัดสินในกีฬาต่างๆ ดังเช่น ฟุตบอลนั่นเอง กรรมการที่ดีที่ปฏิบัติถูกต้อง ย่อมเป็นกลาง ไม่เอนเอียงด้วยความชอบชังส่วนตัวตน ไปในฝ่ายไหน ว่าตามกฏ ถูกหรือผิดตามกติกา ไม่เอาใจตนเองเข้าไปร่วม  เมื่อถูกต้องตามกติกาก็ไม่ห้ามอันใดปล่อยให้เล่นกันไป  แต่เมื่อผิดกฏกติกาก็ต้องทำหน้าที่เป่าเตือนให้หยุดยั้งการกระทำนั้นๆเสีย  ทั้งๆที่กรรมการเองก็อาจมีจิตที่ชอบชังเอนเอียงไปฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตามความเห็นชอบชังโดยส่วนตัว  แต่ก็ต้องตั้งใจทำหน้าที่ตนอย่างตรงไปตรงมาตามกฏกติกา จึงจะเป็นกรรมการที่ดีได้   จึงเหมือนดั่งการอุเบกขาสัมโพชฌงค์นั่นเอง ที่เมื่อเห็นเวทนา,สังขารขันธ์หรือมโนกรรมอันเป็นโทษหรือควรแก่เหตุแล้ว ก็ต้องหยุดยั้งการกระทำคือมโนกรรมนั้นๆเสียด้วยการอุเบกขา

        อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ทำหน้าที่เป็นมโนกรรมคือการกระทำทางใจ(กรรม)อย่างหนึ่ง แต่เป็นฝ่ายกุศล ที่มีเจตนาหรือจิตตั้งมั่นอันแรงกล้าคือมีสัญเจตนา ที่จะเป็นกลาง ไม่เอนเอียง ไม่แทรกแซงเข้าไปปรุงแต่งในมโนกรรมฝ่ายอกุศลอื่นๆที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้ เช่นความโกรธ ทุกข์ใจ กังวลใจ หดหู่ ฟุ้งซ่าน ฯ. ที่เห็นแล้วว่าเป็นโทษหรือสมควรแก่เหตุแล้วนั่นเอง (ระวังการตีความให้สับสนกับสังขารขันธ์ชนิดอุเบกขา ที่หมายถึงอารมณ์อย่างหนึ่งคือความรู้สึกเป็นกลางๆที่เกิดขึ้น)

ด่าทอต่อว่า                                             ผัสสะ                                                                                                                             ยังให้เกิด                                                                        ส่งผลให้

เสียง     กระทบกัน เช่น ตาเห็นรูป หู   โสตวิญญาณ  anired06_next.gif  สัญญาจํา   เวทนา  สัญญาหมายรู้   สังขารขันธ์ ชนิดโทสะ [ anired06_next.gif สัญเจตนาความคิดอ่านขุ่นเคืองแค้น anired06_next.gif มโนกรรม คือเกิดการกระทำต่างๆ ได้ทั้งทางกาย-ทำร้าย  ทางวาจา-ด่าทอ  และทางใจ-เกิดมโนกรรมเป็นความคิดนึกด่าในใจ, คิดปรุงแต่งว่าไม่น่าเลย น่าเป็นอย่างนั้นน่าเป็นอย่างนี้, ทำไมมาว่ากูอย่างนี้ ฯลฯ.

        ตามปกติจิตหนึ่งเกิดทุกข์ดังโทสะข้างต้นแล้วขึ้นแล้ว  แต่ถ้าสติสมาธิปัญญาบริบูรณ์  สัญญาหมายรู้หรือเจตนาคิดอ่านจากเสียง(สัททสัญเจตนา)นั้น  ทำให้สังขารขันธ์ที่เกิดขึ้นแทนที่จะเป็นโทสะ ก็คิดอ่านแปรไปเป็นชนิดสติหรืออุเบกขาเป็นกลาง หรือเจตนา ทำให้เกิดมโนกรรม การกระทำทางใจ คืออุเบกขาการเป็นกลางหยุดการคิดปรุงแต่งเสียก็ได้

  หรืออาจเกิดอีกจิตหนึ่ง ที่เกิดขึ้นแทรก จากการฝึกสติและปัญญาก็เกิดขึ้น

 คิดวางใจเป็นกลาง                                             ผัสสะ                                                                                                                            ยังให้เกิด                                                                      ส่งผลให้

ธรรมารมณ์    กระทบกัน เช่น ตาเห็นรูป ใจ  มโนวิญญาณ  anired06_next.gif  สัญญาจํา   เวทนา  สัญญาหมายรู้   สังขารขันธ์ ชนิดสติ [ anired06_next.gif สัญเจตนา(จงใจเป็นกลางวางเฉย) anired06_next.gif มโนกรรม คือเกิดการกระทำทางใจชนิดอุเบกขาสัมโพชฌงค์ คือการกระทำทางใจโดยการตั้งใจวางใจเป็นกลาง วางเฉย ในมโนกรรมของความคิดนึกต่างๆอันเป็นโทษเช่นทุกข์ใจที่เกิดขึ้นมา

       อุเบกขา-การมีสติระลึกรู้เท่าทันเวทนา,สังขารขันธ์หรืออารมณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น เช่น โทสะ โลภะ โมหะ หดหู่ ฟุ้งซ่าน กังวล ความกลัว สุขใจ ทุกข์ใจ ตัณหา จิตหมกมุ่น จิตหลุดพ้น จิตเป็นสมาธิ ฯ.  เมื่อสติระลึกรู้ในสุข ทุกข์อย่างไร ก็เกิดเป็นอย่างนั้นเป็นธรรมดาตามธรรมของการผัสสะหรือธรรมชาติ  ซึ่งถูกต้องดีงามแล้ว  มันเป็นเช่นนี้เอง อย่าใส่ใจไม่เป็นการถูกการผิดแต่อย่างใด(ข้อนี้สำคัญ) อย่าไปอยาก"ละ"มันอันเป็นตัณหา,  แต่เมื่อสติระลึกรู้เท่าทันและปัญญาเล็งเห็นว่าเป็นโทษหรือสมควรแก่เหตุแล้ว  ต้องวางใจเป็นกลาง วางทีเฉย ด้วยการไม่เอนเอียงเข้าไปปรุงแต่งด้วยถ้อยคิด(คือความคิดนึกปรุงแต่งต่างๆนาๆที่เกิดขึ้น) หรือด้วยอาการจิตใดๆ(ชอบ-ชัง, ถูก-ผิด, ดี-ชั่ว, ยินดี-ยินร้าย ฯ.) ในมโนกรรมจากสังขารขันธ์นั้นๆ (ความคิดนึกที่เป็นผลเกิดขึ้นมาจากสังขารขันธ์ทุกข์ต่างๆ)ที่เกิดขึ้นมาแล้วนั่นเอง

อุปมาได้ดั่ง

อุทธัจจะ เป็นสมุทัย เหตุแห่งทุกข์       อุเบกขา เป็นมรรค การปฏิบัติ เพื่อนิโรธการดับทุกข์

 

        อุเบกขาสัมโพชฌงค์ จะเกิดขึ้นได้ต้องเกิดจากการเจตนาขึ้นเท่านั้น  จึงต้องหมั่นสั่งสมอบรมปฏิบัติ  ไม่ใช่การวางใจเป็นกลางชนิดที่ต้องทําใจเป็นกลางเฉยๆ ชนิดจะไม่ให้รู้สึกรู้สาต่อทุกขเวทนา,สุขเวทนา หรือสังขารขันธ์ทุกข์ต่างๆที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด กล่าวคือ ไปเข้าใจหรือไม่อยากให้มีทุกขเวทนา และความทุกข์(สังขารขันธ์)ทั้งทางกายหรือทางใจใดๆเกิดขึ้นมากระทบได้  เพราะยังไม่รู้ไม่เข้าใจด้วยอวิชชา  อันอาจเคยกระทําได้บ้างแต่ได้เป็นครั้งคราวขณะอยู่ในอำนาจฌาน,สมาธิเท่านั้น อันยังเป็นเพียงโลกียวิโมกข์ (ความหลุดพ้นขั้นโลกีย์)   เป็นกุปปวิโมกข์ (ความหลุดพ้นที่กำเริบคือเปลี่ยนแปลงกลับกลายหายสูญได้)   และเป็นวิกขัมภนวิมุตติ (ความหลุดพ้นด้วยข่มไว้ คือ กิเลสระงับไปเพราะถูกกำลังสมาธิข่มไว้  เหมือนเอาแผ่นหินทับหญ้า  ยกแผ่นหินออกเมื่อใด  หญ้าย่อมกลับงอกงามขึ้นได้ใหม่)   เพราะตามความเป็นจริงแล้วทุกขเวทนานั้นยังมีอยู่เป็นธรรมดาแม้ในองค์พระอริยเจ้า แต่ท่านเหล่านี้ไม่มีอุปาทานทุกข์หรืออุปาทานขันธ์ ๕,  จึงต้องเป็นการปฏิบัติด้วยความรู้ความเข้าใจตามความเป็นจริงแล้วว่าเป็นโทษเป็นทุกข์ แล้วจึงปล่อยวาง หรือทําใจเป็นอุเบกขา กล่าวคือรู้ตามความเป็นจริงแล้ว รู้สึก(เวทนา)อย่างไร ก็เป็นเยี่ยงนั้นนั่นเอง  แต่ต้องเข้มแข็ง ไม่คิดนึกปรุงแต่งด้วยการไม่เอนเอียงหรือแทรกแซงไปด้วยถ้อยคิดหรือกริยาจิตใดๆในเรื่องนั้นๆ  ทั้งในทางดีหรือชั่ว(ทางร้าย),    อุเบกขาจึงไม่ใช่อทุกขมสุขเวทนาหรือที่บางทีเรียกกันว่าอุเบกขาเวทนา อันเป็นความรู้สึกเฉยๆ แล้วไปยึดไปเข้าใจผิดว่าเป็นการอุเบกขาสัมโพชฌงค์,   อันอุเบกขาเวทนานั้นเป็นสภาวธรรมที่เกิดการรับรู้ขึ้นจากการผัสสะเป็นธรรมดา กล่าวคือเป็นไปโดยสภาวธรรมชาติ อย่างไรเสียก็ต้องเกิดขึ้นและเป็นไปตามธรรม  ส่วนการอุเบกขาสัมโพชฌงค์เป็นฝ่ายเหตุคือเป็นสังขารที่เราต้องตั้งใจกระทำขึ้น  ดังนั้นจึงต้องหมั่นฝึกฝนอบรมด้วยความเพียรยิ่ง จนสามารถกระทำอุเบกขานั้นเป็นมหาสติ ได้เหมือนดั่งการอ่านหนังสือ หรือจำแม่สูตรคูณ ที่สั่งสมอบรมไว้ กล่าวคือ กระทำเองโดยอัติโนมัติ เป็นเฉกเช่นสังขารนปฏิจจสมุปบาท แต่ปราศจากเสียซึ่งอวิชชา (มีรายละเอียดเพิ่มเติมเรื่อง อุเบกขา)

โพชฌงค์ ๗ จึงล้วนเป็นธรรมเหล่าใดที่บุคคลเจริญแล้ว

กระทำให้มากแล้ว  ย่อมยังให้เกิดวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์

หรือถึงที่สุดแห่งการดับทุกข์นั่นเอง

จิตคือสติ รู้เท่าทันในกาย เวทนา จิต และธรรมอยู่เนืองๆ

กล่าวคือการปฏิบัติในสติปัฏฐาน ๔ ย่อมเป็นเครื่องอุดหนุนโพชฌงค์ ๗

โพชฌงค์ ๗

จาก อานาปานสติสูตร

      ดูกรภิกษุทั้งหลาย  สมัยใด สติเป็นอันภิกษุเข้าไปตั้งไว้แล้ว ไม่เผลอเรอ

ในสมัยนั้น สติสัมโพชฌงค์ ย่อมเป็นอันภิกษุปรารภแล้ว   สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าย่อมเจริญสติสัมโพชฌงค์

สมัยนั้น สติสัมโพชฌงค์ย่อมถึงความเจริญและความบริบูรณ์แก่ภิกษุ

      เธอเมื่อเป็นผู้มีสติอย่างนั้นอยู่  ย่อม(นำสติไป)ค้นคว้า ไตร่ตรอง ถึงความพิจารณาธรรมนั้นได้ด้วยปัญญา ฯ

      ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ภิกษุเป็นผู้มีสติอย่างนั้นอยู่ ย่อมค้นคว้า ไตร่ตรอง ถึงความพิจารณาธรรมนั้นด้วยปัญญา

ในสมัยนั้น ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ ย่อมเป็นอันภิกษุปรารภแล้ว  สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าย่อมเจริญธรรมวิจยสัมโพชฌงค์
สมัยนั้น ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ย่อมถึงความเจริญและความบริบูรณ์แก่ภิกษุ

      เธอ เมื่อค้นคว้า ไตร่ตรอง ถึงความพิจารณาธรรมด้วยปัญญาอยู่   ย่อมเป็นอันปรารภความเพียรไม่ย่อหย่อน ฯ
      ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ภิกษุ
ค้นคว้า ไตร่ตรอง ถึงความพิจารณาธรรมนั้นด้วยปัญญา ปรารภความเพียรไม่ย่อหย่อน

ในสมัยนั้น วิริยสัมโพชฌงค์ ย่อมเป็นอันภิกษุปรารภแล้ว   สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าย่อมเจริญวิริยสัมโพชฌงค์
สมัยนั้น วิริยสัมโพชฌงค์ย่อมถึงความเจริญและความบริบูรณ์แก่ภิกษุ

      ปีติปราศจากอามิส ย่อมเกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้ปรารภความเพียรแล้ว ฯ
      ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด
ปีติปราศจากอามิส
เกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้ปรารภความเพียรแล้ว

ในสมัยนั้น ปีติสัมโพชฌงค์ย่อมเป็นอันภิกษุปรารภแล้ว   สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าย่อมเจริญปีติสัมโพชฌงค์

สมัยนั้น ปีติสัมโพชฌงค์ย่อมถึงความเจริญและความบริบูรณ์แก่ภิกษุ

      ภิกษุผู้มีใจเกิดปีติ ย่อมมีทั้งกายทั้งจิตระงับได้ ฯ
      ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด
ทั้งกายทั้งจิต ของภิกษุผู้มีใจเกิดปีติ ระงับได้
ในสมัยนั้น ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์
ย่อมเป็นอันภิกษุปรารภแล้ว   สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าย่อมเจริญปัสสัทธิสัมโพชฌงค์

สมัยนั้น ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ย่อมถึงความเจริญและความบริบูรณ์แก่ภิกษุ

      ภิกษุผู้มีกายระงับแล้ว (ย่อมเป็นผลให้)มีความสุข ย่อมมีจิตตั้งมั่น ฯ. ขยายความ
      ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด
จิตของภิกษุผู้มีกายระงับแล้ว มีความสุข ย่อมตั้งมั่น

ในสมัยนั้น สมาธิสัมโพชฌงค์ย่อมเป็นอันภิกษุปรารภแล้ว   สมัยนั้นภิกษุชื่อว่าย่อมเจริญสมาธิสัมโพชฌงค์

สมัยนั้น สมาธิสัมโพชฌงค์ย่อมถึงความเจริญและความบริบูรณ์แก่ภิกษุ

      ภิกษุนั้นย่อมเป็นผู้วางเฉย(เป็นกลาง ด้วย)จิตที่ตั้งมั่นแล้วเช่นนั้น ได้เป็นอย่างดี ฯ
      ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ภิกษุเป็น
ผู้วางเฉย(ด้วย)จิตที่ตั้งมั่นแล้วเช่นนั้นได้เป็นอย่างดี

ในสมัยนั้น อุเบกขาสัมโพชฌงค์ย่อมเป็นอันภิกษุปรารภแล้ว   สมัยนั้นภิกษุชื่อว่าย่อมเจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค์

สมัยนั้น อุเบกขาสัมโพชฌงค์ย่อมถึงความเจริญและความบริบูรณ์แก่ภิกษุ ฯ......... ฯลฯ ...........
      [๒๙๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุที่เจริญโพชฌงค์ ๗ แล้วอย่างไร ทำให้มากแล้วอย่างไร

จึงบำเพ็ญวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์ได้   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้

ย่อมเจริญสติสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ  อันน้อมไปเพื่อความปลดปล่อย

ย่อมเจริญธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ ...

ย่อมเจริญวิริยสัมโพชฌงค์ ...

ย่อมเจริญปีติสัมโพชฌงค์ ...

ย่อมเจริญปัสสัทธิ สัมโพชฌงค์ ...

ย่อมเจริญสมาธิสัมโพชฌงค์ ...

ย่อมเจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค์  

อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ อันน้อมไปเพื่อความปลดปล่อย ฯ
      ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุที่เจริญโพชฌงค์ ๗ แล้วอย่างนี้ ทำให้มากแล้วอย่างนี้แล ชื่อว่าบำเพ็ญวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์ได้ ฯ

๑๐. โพชฌงควิภังค์

พระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ เล่มที่ ๓๕

สุตตันตภาชนีย์

โพชฌงค์ ๗ นัยที่ ๑

        [๕๔๒] โพชฌงค์ ๗ คือ  ๑. สติสัมโพชฌงค์  ๒. ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์  ๓. วิริยสัมโพชฌงค์  

๔. ปีติสัมโพชฌงค์  ๕. ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์  ๖. สมาธิสัมโพชฌงค์  ๗. อุเบกขาสัมโพชฌงค์

        [๕๔๓] ในโพชฌงค์ ๗ นั้น สติสัมโพชฌงค์ เป็นไฉน  ภิกษุในศาสนานี้

เป็นผู้มีสติ ประกอบด้วยสติและปัญญาอันยิ่ง ระลึกได้ ระลึกได้บ่อยๆ ซึ่งกิจที่ทำไว้นานๆ หรือวาจาที่กล่าวไว้นานๆ นี้เรียกว่า สติสัมโพชฌงค์

ภิกษุนั้น มีสติอย่างนั้นอยู่ วิจัย เลือกสรร พิจารณา ซึ่งธรรมนั้นด้วยปัญญา นี้เรียกว่า ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์

ความเพียร ความไม่ย่อหย่อน อันภิกษุนั้นผู้วิจัย เลือกสรร พิจารณา ซึ่งธรรมนั้นด้วยปัญญา ปรารภแล้วนี้เรียกว่า วิริยสัมโพชฌงค์

ปีติ อันปราศจากอามิส เกิดขึ้นแก่พระภิกษุผู้มีความเพียรอันปรารภแล้ว นี้เรียกว่า ปีติสัมโพชฌงค์

กายก็ดี จิตก็ดี ของภิกษุผู้มีใจปีติ ย่อมสงบระงับ นี้เรียกว่า ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์

จิตของภิกษุผู้มีกายสงบระงับแล้ว มีความสุขสบาย ย่อมตั้งมั่น นี้เรียก ว่า สมาธิสัมโพชฌงค์

ภิกษุนั้น เป็นผู้เพ่งเล็งอยู่ด้วยดี ซึ่งจิตที่ตั้งมั่นอย่างนั้น นี้เรียกว่า อุเบกขาสัมโพชฌงค์

----------

 

การเจริญโพชฌงค์ตามกาล

      มีพุทธพจน์ตรัสแสดงถึงวิธีแก้ไข ความรู้สึกหดหู่ใจ ท้อแท้ใจ ทรงสอนให้แก้ไขโดยการเจริญโพชฌงค์ในธรรม ๔ ข้อ ของ โพชฌงค์ ๗  อันมี

        ๑. สติสัมโพชฌงค์ (ข้อ ๑) สติ ความระลึกได้กํากับใจ,กาย   มีสติระลึกรู้ตัวในสังขารขันธ์ว่า หดหู่ ,เหี่ยวแห้ง,ท้อแท้,เสียใจ,อาลัย หรือเห็นจิตฟุ้งซ่าน  แล้วปล่อยวาง  แล้วดำเนินไปในองค์โพชฌงค์ต่อไป

        ๒. ธรรมวิจยะสัมโพชฌงค์ (ข้อ ๒) โดยการโยนิโสมนสิการในธรรมต่างๆ เป็นการหาที่อยู่ที่ยึดอันควรให้แก่จิต ไม่เคว้งคว้างออกไปปรุงแต่ง โดยการยึดการพิจารณาธรรมที่บังเกิดแก่ใจ, หรือเฟ้นธรรมที่ถูกจริต หรือสงสัยไม่เข้าใจ ขึ้นมาไตร่ตรองอย่างเบิกบานให้เข้าใจ  หรือมองเห็นสิ่งที่พิจารณานั้น เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป(ไตรลักษณ์),  ปัญญามองเห็นอริยสัจ ฯ. เป็นการอาศัยธรรมเป็นเครื่องอยู่หรือเป็นเครื่องกำหนดของจิต เพื่อไม่ให้จิตคิดนึกปรุงแต่งหรือฟุ้งซ่านออกไปปรุงแต่งในเรื่องที่หดหู่เหล่าใดเหล่านั้นนั่นเอง  และยังเป็นการส่งเสริมการสั่งสมภูมิรู้ภูมิญาณเป็นลำดับขึ้นไปโดยไม่รู้ตัวอีกด้วย

        ๓. วิริยะสัมโพชฌงค์ (ข้อ ๓) ความเพียร, ความพยายาม  เข้มแข็ง ในธรรมทั้ง ๒ ข้างต้น  และหมายรวมถึงการเพียรยกจิต ไม่ให้หดหู่ถดถอย(ถีนะมิทธะ)  ไม่ปล่อยใจให้ไหลเลื่อนไปตามสถานะการณ์แห่งความหดหู่ใจในภายใน  ซึ่งผู้ปฏิบัติมักมองไม่เห็นหรือนึกไม่ถึง

        ๔. ปิติสัมโพชฌงค์ (ข้อ๔)ความอิ่มใจ ซาบซ่านใจ ใจฟู  ความแช่มชื่นใจ อันเกิดมาแต่ความเข้าใจธรรม  หรือปีติในองค์ฌานที่สามารถทรงขึ้นมาได้ แต่ต้องปราศจากอามิส กล่าวคือ ไม่ใช่ปีติอันมีรากฐานมาจากความติดเพลิน(จึงติดสุข ฯ.)ในองค์ฌานหรือสมาธิ

          กล่าวสรุปโดยย่อ มีสติระลึกรู้เท่าทันว่า "จิตหดหู่ใจ"  ก็ให้พิจารณา(ธรรมวิจยะ)เช่นว่า เกิดมาแต่เหตุปัจจัยใด? เป็นอนุสัย? เป็นอาสวะกิเลส? ฯลฯ. ด้วยความเพียร(วิริยะ)ไม่ปล่อยให้ไหลเลื่อนไปตามยถากรรมในจิตหดหู่นั้น  เมื่อเห็นเข้าใจในธรรมหรือเหตุปัจจัยเหล่านั้น  ย่อมเกิดปีติความสบายใจความยินดีหรือความอิ่มเอิบใจ  จึงคลายจากความหดหู่ใจ เหี่ยวแห้งใจนั้นได้  และจิตหดหู่อันเกิดจากเหตุนั้นก็เป็นอันรู้แล้ว ก็จะไม่ยังผลดังนั้นขึ้นอีก

        และอยู่กับปัจจุบันจิต อย่าคิดนึกปรุงแต่งถึงอดีตที่ผ่านมาแล้ว และอนาคตที่ยังไม่ถึงและไม่แน่นอน  หมายถึงทําสิ่งในปัจจุบันที่เกิดที่เป็น หรือทําหน้าที่ให้ดีที่สุด แล้วอุเบกขา ไม่ปรุงแต่งทั้งทางดีหรือชั่วอันยังให้เกิดเวทนา..ตัณหา..อุปาทาน อันเป็นทุกข์

        และยังทรงกล่าวถึงวิธีระงับความฟุ้งซ่าน ความรำคาญใจ จากการคิดปรุงแต่งต่างๆนาๆทั้งด้านสุขหรือทุกข์,  โดยใช้ ธรรม ๔ ข้อของสัมโพชฌงค์ ๗  อันมี

        ๑. สติสัมโพชฌงค์ (ข้อ๑) มีสติระลึกรู้เท่าทันว่า ฟุ้งซ่าน  คิดปรุงแต่งต่างๆนาๆ

        ๒. ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ (ข้อ๕) คือผ่อนคลายทั้งกายและใจ ไม่ตั้งจิตหรือกายอย่างเคร่งเครียด ไม่กังวล ให้สงบกายใจ

        ๓. สมาธิสัมโพชฌงค์ (ข้อ๖) จิตแน่วแน่ต่อสิ่งที่กําหนด ไม่วอกแวก อยู่กับกิจหรืองานที่ทํา หรือสมาธิ  หรืออยู่ในการพิจารณาธรรมอย่างตั้งมั่น(สมาธิที่ใช้ในวิปัสสนา)  อันเป็นอุบายวิธีเพื่อละความฟุ้งซ่านซัดส่ายส่งไปภายนอก ไปคิดนึกปรุงแต่งให้เกิดเวทนาอันอาจเกิดตัณหา ที่ก่อให้เกิดทุกข์ต่อเนื่องวนเวียนอยู่ในชรานั่นเอง

        ๔. อุเบกขาสัมโพชฌงค์ (ข้อ๗) รู้ตามความเป็นจริงในสิ่ง(ธรรม)นั้น เมื่อปรุงแต่งต่างๆนาๆขึ้นมาแล้ว ก็ต้องวางใจเป็นกลางวางเฉย, วางเฉยโดยการไม่เอนเอียงแทรกแซงไปคิดนึกปรุงแต่งต่อไปอีกทั้งในด้านดีหรือชั่ว กล่าวคือ ย่อมเกิดผลใดขึ้น เช่น เป็นสุขเป็นทุกข์ก็ตามที  ก็ไม่ไปปรุงแต่งให้เกิดเวทนาหรือสังขารขันธ์ต่างๆขึ้นมาหนุนเนื่องอีก อันอาจจักเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหาความอยาก และอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆ  กล่าวคือไม่ปรุงแต่งไม่ว่าจะ ดีก็ไม่ ชั่วก็ไม่  /  บุญก็ไม่ บาปก็ไม่  /  สุขก็ไม่ ทุกข์ก็ไม่ คือไม่ปรุงแต่งยึดถือนั่นเอง เช่น ยึดว่าเราถูกก็ไม่ / ยึดว่าเขาผิดก็ไม่  แล้วมันก็ต้องเสื่อมดับไปเองด้วยธรรมนิยาม

          กล่าวสรุปการปฏิบัติโดยย่อ  มีสติระลึกรู้เท่าทัน(สติ)ว่า "ฟุ้งซ่าน คิดนึกปรุงแต่งไม่หยุดหย่อน"  เมื่อรู้ตัวมีสติดังกล่าวแล้วก็ให้ผ่อนคลายกายใจให้สงบลงเสียก่อน(ปัสสัทธิ)  เมื่อสงบลงแล้ว ก็มี "สติ ที่ตั้งมั่น"(สติที่ประกอบด้วยสมาธิคือมีความต่อเนื่องหรือตั้งมั่น) อยู่ใน"อุเบกขา" กล่าวคือ เป็นกลางต่อสังขารนั้น ด้วยการกระทำที่ไม่แทรกแซงไม่เอนเอียงเข้าไปปรุงแต่งในเรื่องนั้นๆ.

 

จาก มรดกของพุทธทาส  โดย ท่านพุทธทาส

         มรดกที่ ๑๑๓. การบรรลุ มรรคผล นิพพาน มิได้มีไว้ เพื่อบอก ให้ผู้อื่นทราบ และแม้ที่จะรู้เอง ก็ไม่จำเป็นต้องรู้ว่า บรรลุขั้นไหนเท่าไร  เพียงแต่รู้ว่า ทุกข์กำลังดับไปๆ จนกว่าจะหมดสิ้น ก็พอแล้ว  เหมือนรองเท้าสึก ก็รู้ว่าสึก (จนกว่าจะใช้ไม่ได้) ก็พอแล้ว ไม่ต้องรู้ว่า มันสึกกี่มิล ในวันหนึ่งๆ.

 

 

ธรรมน่าคิดของ พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภทฺโท)

ดูไม้ท่อนนี้ซิ ... สั้นหรือยาว
สมมติว่า คุณ
อยากได้ไม้ที่ยาวกว่านี้ ...ไม้ท่อนนี้มันก็สั้น
แต่ถ้าคุณ
อยากได้ไม้สั้นกว่านี้ ... ไม้ท่อนนี้มันก็ยาว
หมายความว่า
ตัณหา ของคุณต่างหาก
ที่ทำให้มีสั้น มียาว มีชั่ว มีทุกข์ มีสุข ขึ้นมา

(Webmaster - ล้วนเป็นไปตามกระบวนธรรมปฏิจจสมุปบาทนั่นเอง)

โพชฌงค์ ๗ พุทธวิธีเสริมสุขภาพ โดยสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต)

กลับหน้าเดิม

กลับสารบัญ