กระดานธรรม ๑

ฝึกสติจนเป็นมหาสติ  ขั้นจางคลายจากทุกข์และดับสนิทแห่งทุกข์

 

        มหาสติ ในการดับทุกข์ในทางปฎิบัติ หมายถึงการมีสติ รู้เท่าทันและเข้าใจอย่างถูกต้อง(สัมมาปัญญา)ในกายบ้าง ในเวทนาบ้าง ในสังขารขันธ์บ้าง(ซึ่งรวมทั้งจิตตสังขาร ที่เป็นผลเมาจากสังขารขันธ์จึงเกิดมโนกรรมเช่นความคิด,คิดฟุ้งซ่าน ฯ.) ในธรรมบ้าง อยู่เนืองๆเป็นอเนก,   ฝ่ายเวทนาหรือจิต(จิตสังขาร)เมื่อมีสติรู้เท่าทันแล้ว ต้องปล่อยวางโดยการอุเบกขา(ในโพชฌงค์ ๗) กล่าวคือเป็นกลาง วางทีเฉย แม้จะรู้สึกเป็นสุข,เป็นทุกข์,หรือไม่สุขไม่ทุกข์(คือเวทนา)ตามธรรม(สิ่ง)ที่เกิดอย่างไรก็ตามที ด้วยการไม่เอนเอียง ไม่แทรกแซง ไม่ปรุงแต่ง ไม่พัวพันไปในเรื่องนั้นๆ ไม่ทั้งในทางดีหรือชั่ว คือ ถูกก็ไม่ ผิดก็ไม่, ดีก็ไม่ ชั่วก็ไม่ หมายถึงไม่ไปยึดมั่นหมายมั่นแม้ในดีชั่ว บุญบาป  เป็นสภาพที่เรียกได้ว่า เหนือบุญเหนือบาป  เหนือดีเหนือชั่ว  หรือเหนือกรรมนั่นเอง  จนเกิดความชำนาญอย่างยิ่งยวด อันเกิดแต่การสั่งสมอบรมประพฤติปฏิบัติอย่างถูกต้องนั่นเอง  เกิดการประสานกันอย่างกลมกลืนอย่างลงตัวในที่สุด ก็จะเกิดมหาสติขึ้น กล่าวคือมีสติอยู่เสมอโดยไม่ต้องประคองโดยตั้งใจ แต่มันเกิดมันทำของมันเองโดยธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นมาแต่การสั่งสมอย่างดีเลิศหรือเชี่ยวชาญชำนาญยิ่ง จนเคยชินยิ่ง อันเป็นสภาวธรรมอย่างหนึ่งของชีวิตนั่นเอง จึงยิ่งใหญ่ ดังเมื่อมีผู้ถาม ๒ x ๒ = ? เราสามารถตอบได้ทันที

        กล่าวคือเกิดการกระทำตามที่ได้สั่งสมอบรมไว้ด้วยความเพียร และอย่างถูกต้อง จนสามารถกระทำเองได้โดยอัติโนมัติ เป็นเหมือนดั่งสังขารในปฏิจจสมุปบาท เพียงแต่มิได้เกิดแต่อวิชชา แต่เกิดจากวิชชาหรือวิชา ดังเช่น สติระลึกรู้ในแม่สูตรคูณ ระลึกรู้ในการอ่านหนังสือออก ขอให้โยนิโสมนสิการโดยแยบคายจะเห็นได้ว่า เมื่อตากระทบตัวอักษร จะเกิดการอ่านออกโดยอัติโนมัติ  จะอ่านไม่ออกก็เป็นไปไม่ได้  เพราะเป็นสังขารอันอบรม สั่งสม ปฏิบัติไว้ด้วยความเพียรมาแต่ครั้งเล่าเรียนนั่นเอง จึงเป็นอาการมหาสติอย่างหนึ่ง เพียงแต่เป็นมหาสติแบบประโยชน์ทางโลก  มิได้เป็นมหาสติที่นำพาให้จางคลายจากทุกข์ หรือดับทุกข์อันเป็นสุขอย่างยิ่ง

ดังตัวอย่างกระบวนธรรม  ที่เกิดจากการอ่าน เช่น อ่านที่เกี่ยวกับข่าวร้าย คือไม่ดี ไม่ถูกใจ

ตา รูปคือตัวหนังสือ 19_c.gif จักษุวิญญาณ 19_c.gifผัสสะ19_c.gif สัญญาจำ(รูปสัญญา) เข้าใจถึงความหมาย 19_c.gif เกิดเวทนา ความรู้สึก รับรู้ตามความหมายที่เห็นนั้น จึงเกิดทุกขเวทนา 19_c.gif สัญญาหมายรู้(รูปสัญเจตนา) คิดอ่านในข้อมูลที่อ่านนั้น 19_c.gif จึงเกิดสังขารขันธ์ เช่น หดหู่ใจ เป็นปัจจัยปรุงแต่งจิตให้เกิด สัญเจตนา จึงเป็นปัจจัยให้เกิดการกระทำ(กรรม)ต่างๆขึ้น เช่น มโนกรรม(การกระทำทางใจ เช่น คิดนึก),  จิตจึงเกิดการคิดวนเวียนปรุงแต่งสืบต่อไปอีก จึงวนเวียนอยู่ในกองทุกข์นั่นเอง

        ตัวอย่างดังข้างต้นนี้ จึงแสดงสังขารของการอ่านหนังสือออก อันเป็นสังขารที่เป็นไปในลักษณาการของมหาสติ  เมื่อเห็นคือกระทบแล้วย่อมเกิดกระบวนธรรมต่างๆดังข้างต้น โดยไม่ต้องเจตนา เป็นไปโดยสภาวธรรมดังมหาสตินั่นเอง ที่ย่อมต้องเข้าใจในตัวหนังสือนั้นเป็นธรรมดาที่ไม่ธรรมดา     ส่วนในตอนท้ายคือสังขารขันธ์นั้นก็แสดงอาการดั่งมหาสติอีกอย่างหนึ่ง แต่เป็นฝ่ายให้เกิดทุกข์อย่างยิ่งยวด คือ จิตสังขารที่มีอาการฟุ้งซ่าน คิดนึกปรุงแต่ง คิดวนเวียนในทุกข์ ด้วยเป็นความสั่งสมเคยชินด้วยอวิชชา จึงสั่งสมมาแต่ช้านาน แต่อ้อนแต่ออก นานจนไม่รู้ว่าสักกี่ภพ กี่ชาติมาแล้ว  จึงหยุดการคิดวนเวียนปรุงแต่งคือหยุดฟุ้งซ่านไม่ได้ ด้วยเป็นสังขารที่สั่งสมมาช้านานด้วยอวิชชา  จึงเกิดทุกขเวทนาที่ประกอบด้วยอุปาทานกระทบอยู่ตลอดเวลาราวกับเป็นชิ้นเป็นเรื่องเดียวกัน ทั้งๆที่ทุกขเวทนานั้นเกิดขึ้นในสภาวะเกิดแล้วดับ เกิดแล้วดับๆๆ....จากการคิดปรุงหรือฟุ้งซ่านไม่หยุดหย่อนราวกับต่อเนื่องกันไป โดยไม่รู้ตัว ทั้งควบคุมไม่ได้เพราะทั้งไม่เคยรู้ ทั้งไม่เคยฝึกฝนปฏิบัตินั่นเอง จนยิ่งเร่าร้อนยิ่งขึ้นไป ทั้งยาวนานยิ่ง

        ลองโยนิโสมนสิการในการขี่จักรยาน การว่ายนํ้า บุคลิกต่างๆเหล่านี้  ล้วนเป็นสังขารที่ได้สั่งสม อบรม ประพฤติ ปฏิบัติมาแต่อดีตทั้งสิ้น  จึงเป็นไปดังเช่นเดียวกับสังขารในปฏิจจสมุปบาทเพียงแต่มิได้เป็นสังขารที่เกิดจากอวิชชาอันนำพาให้เกิดทุกข์  เป็นเพียงสังขารทางโลกอย่างหนึ่ง หรือก็คือขันธ์ ๕ ธรรมดาๆที่ฝึกฝนมาอย่างลงตัวแล้ว ยังฝึกฝนจนชำนาญยิ่งและใช้ในการดำเนินขันธ์หรือชีวิตอันมิได้ก่อทุกข์โทษภัย และบางอย่างก็จำเป็นยิ่งในการดำรงขันธ์หรือชีวิต   โยนิโสมนสิการดูความยิ่งใหญ่ของสภาวธรรมหรือธรรมชาติ(คล้ายดั่งสังขารในปฏิจจสมุปบาท)นี้  ที่เมื่อเกิดขึ้นลงตัวได้แล้ว จดจำได้ไม่สามารถลบเลือนไปได้จนกว่าแตกดับไป  และสามารถกระทำเองได้โดยแทบไม่ต้องเจตนา(สัญเจตนา)ทั้งๆที่แท้จริงแล้วมีเจตนา หรือเรียกได้ว่ากระทำไปเองโดยอัติโนมัตินั่นเอง กล่าวคือมันเกิดมันทำของมันเอง ดั่งเช่น ถ้าฝึกฝนสั่งสมจนว่ายนํ้าเป็นอย่างลงตัวแล้ว  แม้ไม่ได้ว่ายมา ๒๐ ปี  แต่เมื่อตกนํ้าก็สามารถทำได้เองในทันทีโดยอัติโนมัติ,  การขี่จักรยาน  การอ่านหนังสือ  การพูด  บุคคลิกท่าทาง ฯลฯ.  เราต้องการสังขารในลักษณะเยี่ยงนี้ไปในการดับไปแห่งทุกข์เช่นกัน  ที่เรียกกันภาษาธรรมทั่วๆไปได้ว่า มหาสติ นั่นเอง กล่าวคือ ต้องปฏิบัติอย่างถูกต้องด้วย และอย่างเป็นมหาสติ  กล่าวคือถ้าไม่ถูกต้องก็ย่อมกลายเป็นสังขารในปฏิจจสมุปบาทนั่นเอง

         สำหรับนักปฏิบัติ มีสังขารอีกอย่างหนึ่งที่เป็นอาการของมหาสติ แต่เป็นฝ่ายก่อให้เกิดทุกข์ในภายหน้า จึงไม่จัดว่าเป็นมหาสติ  คืออาการของ จิตส่งในหรือจิตส่องใน ไปในกายหรือจิต  เป็นอาการของมหาสติฝ่ายก่อให้เกิดทุกข์อย่างยิ่งยวดอย่างหนึ่ง ที่เกิดขึ้นจากการติดเพลินหรือติดสุขในฌานหรือสมาธิ  จึงกระทำอยู่เสมอๆทั้งโดยรู้ตัวและโดยไม่รู้ตัว จึงควบคุมบังคับไม่ให้ไม่ทำไม่ได้  เหตุเกิดขึ้นเพราะความสงบความสุขที่เกิดขึ้นแต่สมาธิหรือองค์ฌานต่างๆเป็นเครื่องล่อลวงให้เข้าไปติดเพลิน มักขาดการเจริญวิปัสสนา จึงไปติดเพลินโดยไม่รู้ตัว จึงถวิลหาสังขารของสมาธิหรือฌานอยู่เสมอๆแม้ในวิถีจิตปกติธรรมดา โดยอาการจิตส่งในไปสังเกตุกายหรือจิตเพื่อเสพรส  ในที่สุดกายและจิตย่อมแปรปรวนเป็นทุกข์ด้วยวิปัสสนูปกิเลส  อันเกิดขึ้นเพราะเหตุที่ว่าสังขารของสมาธิและฌานก็ไม่เที่ยงด้วยอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั่นเอง   จิตส่งในจึงเป็นสังขารที่ควรรีบแก้ไขอย่างยิ่งยวด  ก่อนที่จะเป็นสังขารดังมหาสติอย่างผิดๆอย่างยิ่งยวด   ด้วยเหตุดั่งนี้นี่เอง จึงจัดรูปราคะและอรูปราคะอันเกิดแต่มิจฉาฌานสมาธิเพราะติดเพลินหรือนันทิเป็นหนึ่งในสังโยชน์ขั้นละเอียด ที่ละได้ยากยิ่งนัก

          สติรู้เท่ารู้ทันกาย เวทนา จิต ธรรม  เรียกว่า มหาสติ เป็นไปเพื่อการดับทุกข์

          สติรู้เท่าทันในหน้าที่การงาน เรียกว่า สั่งสมจนเชี่ยวชาญชำนาญยิ่ง เป็นไปเพื่อประโยชน์ทางโลกๆ

          สติรู้ในกิเลสที่ผุดขึ้นมา(อาสวะกิเลส)และประกอบด้วยอวิชชา คือสังขารกิเลส ในองค์ธรรมสังขารในปฏิจจสมุปบาทนั่นเอง ล้วนเป็นไปเพื่อหยุดฟุ้งซ่านจึงดับทุกข์อันเร่าร้อน

 

สติ ควรระลึกรู้เท่าทันระดับใด ที่ยังผลยิ่ง

 

กลับสารบัญ