พระไตรลักษณ์ ในขันธ์ ๕ จากพระโอษฐ์

"ภิกษุทั้งหลาย รูป....เวทนา....สัญญา....สังขาร....วิญญาณ  เป็นอนัตตา"

(ไม่มีตัวมีตนเป็นแก่นแท้ หรือไม่ใช่ตัวใช่ตนอย่างแท้จริง  ตัวตนที่มีหรือเห็นอยู่นี้ก็เป็นเพียงกลุ่มหรือก้อนของเหตุที่มาเป็นปัจจัยกัน เช่นรูปก็คือจากธาตุ ๔)

หากรูป....เวทนา....สัญญา....สังขาร....วิญญาณ  เป็นอัตตา(มีตัวตน หรือเป็นของตัวของตนอย่างแท้จริง)แล้วไซร้

มันก็จะไม่เป็นไปเพื่ออาพาธ(ความขุ่นข้อง ทนอยู่ไม่ได้ เจ็บป่วย  อันล้วนเป็นทุกข์)

ทั้งยังจะได้ตามใจปรารถนาในรูป....ในเสียง....ในกลิ่น....ในรส....ในสัมผัส(โผฐฐัพพะ)....ในวิญญาณ ว่า

"ขอรูป....ขอเวทนา....ขอสัญญา....ขอสังขาร....ขอวิญญาณ ของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด  อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย"

แต่เพราะเหตุที่รูป....เวทนา....สัญญา....สังขาร....วิญญาณ เป็นอนัตตา  

ดังนั้น รูป....เวทนา....สัญญา....สังขาร....วิญญาณ จึงเป็นไปเพื่ออาพาธ  

และใครๆก็ไม่อาจได้ตามความปรารถนาในรูป....เวทนา....สัญญา....สังขาร....วิญญาณ ว่า

"ขอรูป....ขอเวทนา....ขอสัญญา....ขอสังขาร...ขอวิญญาณ ของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย"

    "ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายมีความเห็นเป็นไฉน ?"

    "รูปเที่ยง หรือไม่เที่ยง?" (ตรัสถามทีละอย่างในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)

    "ไม่เที่ยงพระเจ้าข้า" (ภิกษุทั้งหลายตอบ)

    "สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ หรือเป็นสุข?"

    "เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า"

    "ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือที่จะเฝ้าเห็นสิ่งนั้นว่า

    นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นตัวตนของเรา ?"

    "ไม่ควรเห็นเป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า"

    "ภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล รูป....เวทนา....สัญญา....สังขาร....วิญญาณ อย่างใดอย่างหนึ่ง

    ทั้งที่เป็น อดีต ปัจจุบัน อนาคต ทั้งภายในและภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต

    ทั้งที่ไกลและที่ใกล้ ทั้งหมดนั้น เธอทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันถูกต้อง ตามที่มันเป็นว่า

"นั่นไม่ใช่ของเรา  เราไม่ใช่นั่น  นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา"

(อย่างเป็นแก่นแกนแท้จริง)

(สํ.ข. ๑๗/๑๒๗-๑๒๙/๘๒-๘๔ , พุทธธรรม น.๖๙)

 

พุทธพจน์

         "ภิกษุทั้งหลาย  เราจักแสดงขันธ์ ๕  และอุปาทานขันธ์ ๕    เธอทั้งหลายจงฟัง"

         "ขันธ์ ๕  เป็นไฉน ?    รูป...เวทนา..สัญญา...สังขาร...วิญญาณ    อันใดอันหนึ่ง    ทั้งที่เป็นอดีต    อนาคต    ปัจจุบัน    เป็นภายในก็ตาม    ภายนอกก็ตาม    หยาบก็ตาม    ละเอียดก็ตาม    ทรามก็ตาม    ประณีตก็ตาม    ไกลหรือใกล้ก็ตาม...เหล่านี้  เรียกว่า  ขันธ์ ๕"

         "อุปาทานขันธ์ ๕  เป็นไฉน ?    รูป...เวทนา..สัญญา...สังขาร...วิญญาณ    อันใดอันหนึ่ง    ทั้งที่เป็นอดีต    อนาคต    ปัจจุบัน    เป็นภายในก็ตาม    ภายนอกก็ตาม    หยาบก็ตาม    ละเอียดก็ตาม    ทรามก็ตาม    ประณีตก็ตาม    ไกลหรือใกล้ก็ตาม    ที่ประกอบด้วยอาสวะ    เป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน(หรือถูกอุปาทานครอบงำนั่นเอง)...เหล่านี้  เรียกว่า    อุปาทานขันธ์ ๕"

(สํ.ข. ๑๗ / ๙๕-๙๖ /๕๘-๖๐)

         "ภิกษุทั้งหลาย  เราจักแสดงธรรมทั้งหลายซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน   และตัวอุปาทาน   เธอทั้งหลายจงฟัง.

         "รูป...เวทนา..สัญญา...สังขาร...วิญญาณ   คือ ธรรม(สิ่ง)อันเป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน     (ส่วน)ฉันทราคะ(ความชอบใจจนติด  หรืออยากอย่างแรงจนยึดติด หรือตัณหาอันเป็นเหตุปัจจัยยังให้เกิดอุปาทานครอบงำ)ในรูป...เวทนา..สัญญา...สังขาร...วิญญาณ  นั้นคือ  อุปาทานในสิ่งนั้นๆ"

(สํ.ข. ๑๗ / ๓๐๙ / ๒๐๒)

 

ธรรมข้อคิดของพระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภทฺโท)

ลงท้ายแล้ว แนวทางการทำสมาธิภาวนาทุกแบบ
ต้องเป็นไปเพื่อการปล่อยวาง
ผู้ปฏิบัติต้องไม่ยึดมั่น .. แม้ในตัวอาจารย์
แนวทางใดที่นำไปสู่การปล่อยวาง สู่การไม่ยึดมั่นถือมั่น
ก็เป็นการปฏิบัติที่ถูกต้อง

 

 

ทุกข์ของขันธ์๕ทางกายและใจ นั้นเป็นสภาวธรรมหรือธรรมชาติยังคงมีอยู่ แต่ไม่มี "อุปาทานทุกข์"

จริงๆแล้วที่มนุษย์ทั้งหลายเป็นทุกข์กันอยู่ทุกขณะก็คือ"อุปาทานทุกข์"นี้นั่นเอง

แต่เพราะไม่รู้ตามความเป็นจริง(อวิชชา)  จึงจําแนกไม่ออก

พนมพร

 

พระไตรลักษณ์

                           

กลับสารบัญ

 

 

 

 

 

 

hit counter