กระดานธรรม ๓

พลังธรรมชาติ

 คลิกขวาเมนู  

        เนื่องจากปัญหานี้มีผู้ที่อยากรู้เป็นจำนวนมากจริงๆ อันเนื่องมาจากการถูกความทุกข์รุมเร้าก็มี จากความเจ็บป่วยรุมเร้าก็มี แล้วไม่สามารถรักษาให้หายได้ง่ายๆ หรือตามปกติธรรมดา หรือเป็นเรื่องที่เกินวิทยาการในปัจจุบันอยู่บ้าง เป็นโรคที่ร้ายแรงจนเป็นทุกข์อย่างยิ่ง เป็นโรคร้ายแรงที่ยังไม่มีวิธีการรักษา หรือเนื่องจากความเชื่อตามที่มีการถ่ายทอดกันสืบต่อๆมา  จึงเป็นปัญหาที่ค้างคาใจในหมู่นักปฏิบัติ และผู้ที่ต้องการเพื่อนำไปรักษาพยาบาลตน หรือญาติโกโหติกาตนที่เจ็บป่วย และแม้แต่ดับทุกข์  ผู้เขียนจึงขอกล่าวเรื่องพลังธรรมชาติ หรือพลังวิเศษต่างๆ ไว้เพื่อเป็นประโยชน์แก่นักปฏิบัติ ตามที่ผู้เขียนพอรู้พอสัมผัสมาบ้าง จะได้ไม่หลงทางจนชีวิตตกเป็นเหยื่อของอวิชชาไปเสีย  และสามารถใช้พลังธรรมชาติหรือพลังวิเศษที่มีอยู่จริงๆ ไปใช้ประโยชน์ได้อย่างถูกต้องดีงาม ไม่งมงายด้วยอธิโมกข์หรืออวิชชา จนเสียการ

        ก่อนอื่นนั้น ด้วยหลักปฏิจจสมุปบันธรรม ที่มีหลักธรรมอยู่ที่ว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ล้วนเกิดขึ้นแต่มีเหตุต่างๆมาเป็นปัจจัยกัน จึงเกิดขึ้น   ความเจ็บไข้ได้ป่วยทั้งหลายก็เป็นเฉกเช่นเดียวกัน ย่อมเป็นไปตามหลักธรรมหรือธรรมชาติอันยิ่งใหญ่นี้เช่นกัน จึงเกิดแต่ปฏิจจสมุปบันธรรมเช่นเดียวกัน กล่าวคือ มีเหตุมาเป็นปัจจัยจึงเกิดขึ้น  มิได้เกิดขึ้นโดยไร้เหตุ

ธรรมคือสิ่งใดล้วนเกิดแต่เหตุ  เมื่อเหตุดับ ธรรมคือสิ่งนั้นก็ย่อมดับ

        ดังนั้นถ้าแยกสาเหตุใหญ่ๆ ออกมาก็คงแบ่งได้เป็นสอง คือ สาเหตุจากฝ่ายกาย และสาเหตุแต่ฝ่ายจิต

        สาเหตุทางฝ่ายกายโดยตรงนั้น ได้แก่ การเจ็บป่วยอันเกิดจากการติดเชื้อต่างๆ  การบาดเจ็บต่างๆ  สิ่งเหล่านี้แล้วเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ก็ควรปฏิบัติตามหลักอิทัปปัจจยตานั่นเอง กล่าวคือ เมื่อเหตุนี้ไม่มี ผลนี้จึงไม่มี  กล่าวคือรักษาที่ต้นเหตุนั่นเอง จึงควรไปพบแพทย์เป็นอย่างยิ่ง ไม่บังควรอย่างยิ่งที่ไปรักษาทางพลังใดๆทั้งหลายทั้งปวงโดยตรง  ยกเว้นแต่เพียงเพื่อเจตนาให้เป็นเครื่องอยู่ เครื่องช่วย ให้จิตใจสบายด้วยอำนาจของจิต ซึ่งย่อมยังให้กายที่ย่อมเนื่องสัมพันธ์กับจิต ย่อมอยู่สุขสบายไปด้วย ตามกำลังของจิตนั่นเอง อันย่อมยังให้กายดีขึ้นตามจิตนั้นๆ อันเป็นไปตามกระแสธรรมหรือธรรมชาติ  จึงไม่ใช่เหนือธรรมชาติอย่างไร้เหตุผลที่อ้างกันไปว่าสามารถรักษาได้โดยตรง  ผู้เขียนเองเคยเห็นผู้ที่เจ็บป่วยไข้ในลักษณะนี้  ที่เที่ยววิ่งรักษาตัวเองต่างๆนาๆในแบบยาผีบอก หรือพลังวิเศษ ที่ส่วนใหญ่แล้วย่อมเกิดขึ้นและเป็นไปเนื่องด้วยอวิชชาเป็นสำคัญ หรือเพราะท้อแท้สิ้นหวัง  อันพลังธรรมชาติหรือพลังวิเศษที่กล่าวนี้ก็คือพลังอำนาจอันเกิดแต่จิตเป็นสำคัญนั่นเอง กล่าวคือ พลังอำนาจวิเวกของ ปีติ สุข อุเบกขา อันเกิดแต่องค์ฌานนั่นเอง  ซึ่งย่อมมีวิธีปฏิบัติให้เกิดขึ้นได้ใน ๒ ลักษณะใหญ่

        อนึ่งแม้แต่พระพุทธเจ้า ในสมัยพุทธกาล เมื่อพระองค์ท่านเจ็บป่วยไข้ ท่านก็ทรงโปรดให้หมอชีวกโกมารภัจจ์เป็นผู้ถวายการรักษาพยาบาลให้อยู่เนืองๆเสมอมา  เราผู้เป็นสาวกตถาคต ก็ควรดำเนินตามรอยพระบาทของพระองค์ท่าน กล่าวคือไปหาหมอเพื่อทำการรักษาเสียนั่นเอง อันเป็นการปฏิบัติรักษาตามหลักปฏิจจสมุปบันธรรมอย่างถูกต้องดีงาม  เพราะกายนั้น ย่อมเป็นสังขารสิ่งที่เกิดแต่เหตุปัจจัยปรุงแต่งขึ้นมาอย่างหนึ่ง จึงย่อมมีสภาวธรรมประจำสังขารร่างกายคืออาทีนวะเป็นธรรมดา  เพราะประกอบด้วยความไม่เที่ยง จึงย่อมมีอาการแปรปรวนให้เจ็บป่วยอาพาธเกิดขึ้นเป็นธรรมดา จนถึงต้องมรณะแตกดับไปเป็นที่สุดเป็นธรรมดา  จึงไม่มีผู้ใดไปห้ามอำนาจของธรรมชาติเยี่ยงนี้อันเป็นอกาลิโกลงไปได้นั่นเอง   ดังนั้นเมื่อพึงเกิดขึ้นดังนี้ ก็พึงรักษาเสียที่เหตุที่เป็นปัจจัยทำให้เกิดขึ้นเสียนั่นเอง จึงควรไปพบแพทย์รักษาเสีย  กล่าวคือเพื่อกำจัดเหตุเสียนั่นเอง เพราะคือเมื่อเหตุดับ ผลจึงดับ เป็นไปตามหลักอิทัปปัจจยตานั่นเอง  แล้วพึงประกอบด้วยการเจริญวิปัสสนาในสัญญา ๑๐  ดังที่แสดงไว้ในอาพาธสูตร  นี้ย่อมเป็นการรักษาที่เป็นไปอย่างถูกต้องและดีงาม  มีฐานะสงบระงับความเจ็บป่วยเป็นไปได้ อย่างอัศจรรย์

        เยี่ยงนี้ จึงเป็นการรักษาโรคอย่างภูกต้องดีงาม  กล่าวคือเป็นการดับเหตุอย่างปรมัตถ์นั่นเอง กล่าวคือดับที่เหตุทั้งฝ่ายกายและฝ่ายจิต และเหตุที่จักดับนี้อยู่ในวิสัยที่พึงปฏิบัติได้ ไม่ได้เป็นของเลื่อนลอยไร้สาระ ดังการอาศัยในการ แก้กรรม พลังธรรมชาติ ยาผีบอก น้ำมนต์ ฯลฯ. แต่อย่างเดียวด้วยความงมงายด้วยอธิโมกข์หรือทิฏฐุปาทาน

        ส่วนอีกประการหนึ่งก็คือ เมื่อเกิดการเจ็บป่วยไข้แล้ว รักษาโดยใช้พลังต่างๆ ถ่ายทอดการรักษา  วิธีนี้ก็ได้ผลในระดับหนึ่ง   จำเป็นต้องกล่าวดังนั้น  เพราะเป็นการถ่ายทอดพลังของจิตนั่นเอง กล่าวคือ อาศัยพลังจิตหรือการจูงจิตของผู้ให้การรักษา จูงจิตหรือชักชวนจิตของผู้ป่วยให้สามารถก่อสมาธิขึ้นมาได้โดยอาศัยจิตที่สงบด้วยศรัทธาหรืออาการปฏิบัติต่างๆกันไปเป็นสำคัญ จึงทำให้จิตผู้ป่วยเกิดกำลังของสมาธิในระดับหนึ่ง จึงระงับความเจ็บป่วยไข้กระวนกระวายได้ในระดับหนึ่งๆ ระยะหนึ่งๆเท่านั้น  ด้วยขณะที่จิตผู้ป่วยเป็นสมาธิได้นั้น นิวรณ์ ๕ ต่างๆย่อมต้องสงบระงับเป็นการชั่วคราวได้นั่นเอง  แต่เหตุยังคงอยู่  ดังนั้นผลก็ยังคงเกิดขึ้นอีกเป็นธรรมดา  เมื่อสมาธิดับไป ก็กลับมาสู่สภาวะเดิมอีกนั่นเอง  วิธีการนี้จึงยังไม่ถูกต้อง

        ส่วนการเจ็บป่วยอีกสาเหตุหนึ่งนั้น เกิดแต่จิตเป็นเหตุหรือกิเลสยังให้เกิดความเครียดความกังวลความกระวนกระวายแล้วยังผลให้ถึงกาย  แล้วโรคประเภทนี้ก็มีมากจนหยั่งคาดกันไม่ถึงทีเดียว   แม้แต่พระองค์ท่านก็ทรงตรัสไว้ว่า บุคคลที่ไม่เจ็บป่วยไข้ทางกายให้เห็นเป็นเวลา ปีหนึ่งก็มี...๕ ปีก็มี...จนถึง...๑๐๐ ปี ก็ยังมีที่ไม่เคยเจ็บป่วยไข้ปรากฏเลย  และยังมีพระดำรัสยืนยันต่อไปอีกว่า แต่ไม่มีปุถุชนคนใดเลยที่จะไม่เป็นทุกข์ กล่าวคือไม่เจ็บป่วยทางจิตหรือใจ พ้นชั่วครู่ชั่วยามหนึ่งได้เลย  นอกจากพระอริยเจ้า

        อนึ่งดังที่กล่าวอยู่เนืองๆในเรื่องขันธ์ ๕ ว่าขันธ์ทั้ง ๕ ตลอดเวลาที่ดำรงขันธ์หรือมีชีวิตอยู่ ย่อมมีความเนื่องสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่นอยู่ตลอดเวลา จนกว่าจะถึงกาลแตกดับตายไป   ดังนั้นเมื่อจิตเป็นทุกข์หรือเจ็บป่วยเสียแล้ว จึงย่อมส่งผลหรือยังผลถึงกายด้วยเช่นกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  ปุถุชนจึงมีการเจ็บป่วยทางกายที่เนื่องมาจากจิตเป็นจำนวนมากเป็นอเนกเกินความคาดคิดทีเดียว  โรคต่างๆเหล่านี้นี่เองที่สามารถรักษาได้โดยทางพลังธรรมชาติต่างๆบ้างเป็นครั้งคราวดังที่กล่าวข้างต้น  แต่การรักษาในลักษณะนี้นั้น ก็มีข้อเสียที่ควรรู้ไว้อย่างยิ่ง  เพราะส่งผลเสียถึงกายและจิตตนเองได้ในภายหลังเช่นกัน  กล่าวคือ การรักษาทั้งปวงล้วนใช้อุบายคือวิธีต่างๆ เช่นพิธีการหรือวิธีทำให้ให้ผู้ป่วยเกิดศรัทธา แล้วเหนี่ยวนำให้เกิดสมาธิขึ้นเสียก่อน  ให้เกิดสมาธิขึ้นโดยอาการใดอาการหนึ่งตามกำลังของผู้ป่วยหรือผู้รักษาเอง ตามแต่เทคนิคของบุคคลผู้รักษานั้นๆ  ซึ่งเมื่อผู้ป่วยสามารถก่อหรือมีกำลังสมาธิหรืออธิโมกข์  จึงย่อมเกิดกำลังในการสงบระงับไปในนิวรณ์ทั้ง ๕ ในระดับหนึ่งๆ จึงย่อมเกิดความสุข สงบ สบายขึ้นเป็นธรรมดา จึงคลายจากอาการเจ็บป่วยไข้ ทันตาเห็นราวปาฏิหาริย์  จึงมักทำให้ผู้ป่วยเกิดศรัทธาเลื่อมใสยิ่งขึ้นไปอีก จนกลายเป็นอธิโมกข์ไปเสีย  และถ้าผู้ป่วยไปติดเพลินเข้าไปในความสงบ สุข สบาย หายเจ็บไข้จนประจำเสมอๆ กล่าวคือไปรักษาเสมอๆหรือนำไปปฏิบัติเองเสมอๆเองในภายหลัง  ก็ย่อมเกิดอาการติดเพลินขึ้นที่เรียกกันว่าติดสุขขึ้นในที่สุดโดยอาการของจิตส่งใน  อย่างนี้ก็กลายเป็นผลร้ายในภายหลัง   จึงต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้องด้วย  กล่าวคือ เมื่อรักษาดังนี้แล้ว ก็ต้องรู้ด้วยว่ามีทั้งคุณและโทษ  คุณคือเกิดกำลังของสมาธิจึงช่วยรักษาโรคต่างๆบางโรคได้  ส่วนโทษก็คือเกิดการติดเพลินด้วยความไม่รู้  จึงปล่อยแช่หรือกระทำดังนั้นๆอยู่เสมอๆ ที่กลายเป็นทุกข์หนักกว่าเดิมอีกในภายหลังและเป็นไปโดยไม่รู้ตัวไม่รู้สาเหตุ    ดังนั้นผู้ไปทำการรักษาในลักษณะนี้จึงจำเป็นต้องประกอบด้วยการเจริญวิปัสสนาในทางปัญญาควบคู่ไปด้วยตนเองด้วย  จึงจะไม่เกิดโทษ  และเป็นคุณประโยชน์ต่อไปในภายภาคหน้าอีกเสียด้วย  ดังเช่นการใช้สัญญา ๑๐ ในอาพาธสูตร ที่ใช้ทั้งสมาธิจิตตั้งมั่นที่เกิดขึ้นจากอานาปานสติ และการเจริญวิปัสสนาพิจารณาในธรรมต่างๆให้เกิดนิพพิทาในกายในโลก จึงปล่อยวาง จึงคลายความอยาก ความกำหนัด ความหลงใหล ความมัวเมา ความกังวลทั้งในกายและจิตลงไป  จิตจึงหลุดพ้น  หลุดพ้นอะไร หลุดจากความกังวล ความกระวนกระวาย ความเร่าร้อน ความหดหู่ต่างๆ ที่รุมเร้าเสียจนเจ็บป่วยไข้ลงไปเสียนั่นเอง

 

อาพาธสูตร

แสดงสัญญา ๑๐ ที่มีอานิสงส์ สงบระงับโรคภัยไข้เจ็บ เป็นฐานะที่มีได้ เป็นอัศจรรย์

 

 

กลับหน้าเดิม

กลับสารบัญ