สังขาร
ก่อนกล่าวถึงสังขาร อันเป็นองค์ธรรมในปฏิจจสมุปบาทธรรม ที่แม้เป็นสังขารสิ่งปรุงแต่งเช่นสังขารทั้งหลาย แต่ก็มีความที่เฉพาะเจาะจงลงไปเป็นพิเศษกว่าสังขารทั่วไปก็คือ เป็นสังขารที่หมายถึงการกระทำและเป็นทั้งสังขารกิเลสและสังขารวิบาก จึงขอกล่าวถึงสังขารทั้งหลายโดยทั่วๆไปเสียก่อน เพื่อป้องกันความสับสน เพื่อความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งในภายหน้า
สังขาร หมายถึง สิ่งปรุงแต่ง, สิ่งที่ถูกปัจจัยปรุงแต่งขึ้น, หมายถึง สิ่งที่เกิดแต่เหตุ มาเป็นปัจจัยปรุงแต่งกันขึ้นมา กล่าวคือ ธรรมหรือสิ่งที่เกิดขึ้น จากเหตุต่างๆหรือสิ่งต่างๆมาเป็นปัจจัยแก่กันและกันหรือปรุงแต่งกัน จึงยังผลให้เกิดสังขารขึ้น ดังนั้นจึงครอบคลุมทั้งฝ่ายรูปธรรมและนามธรรมอย่างครบถ้วน ดังนั้นจึงมีความหมายที่กว้างขวางครอบคลุมแทบล้วนทุกสรรพสิ่ง อันยกเว้นแต่เพียงอสังขตธรรมเท่านั้น (ธรรมหรือสิ่งที่ไม่เกิดแต่ปัจจัยปรุงแต่งขึ้น) ดังเช่น นิพพาน และสภาวธรรมหรือธรรมชาติทั้งหลาย ในภาษาไทยหรือภาษาทางโลกที่เราสื่อสารกันนั้น สังขาร ยังไปหมายถึงร่างกายตัวตนอีกด้วย จึงช่วยก่อให้เกิดความสับสนในการพิจารณาโดยไม่รู้ตัว, ส่วนในภาษาธรรมนั้น สังขารก็หมายถึงสิ่งปรุงแต่ง จึงมีความหมายที่กว้างขวางจริงๆ สังขารยังแบ่งออกได้เป็น
ฝ่ายรูปธรรมนั้น จึงหมายถึงสิ่งที่สัมผัสหรือรับรู้ได้ด้วยอายตนะทั้ง ๕ อันมี ตา หู จมูก ลิ้น กาย จึงหมายถึงสิ่งที่เป็นวัตถุธาตุทั้งหลายทั้งปวง ต่างก็ล้วนเป็นสังขารเกิดจาการปรุงแต่งทั้งสิ้น ตั้งแต่สิ่งที่ใหญ่โตเช่นจักรวาล โลก ครอบคลุมลงไปถึงแม้แต่สิ่งที่เล็กละเอียดเช่นอะตอม มนุษย์ สัตว์ สิ่งของ ฯลฯ. ดังที่ได้กล่าวไว้แล้วในเรื่องพระไตรลักษณ์
ฝ่ายนามธรรมนั้น หมายถึงสิ่งที่สัมผัสหรือรับรู้ได้ด้วยใจ ไม่มีตัวตนแก่นแกนแท้จริง เป็นการสัมผัสรู้ได้ด้วยจิตหรือใจนั่นเอง เช่น ขันธ์ทั้ง ๕ ความคิด จิต สมาธิ ฌาน องค์ฌานต่างๆ ต่างก็ล้วนเกิดแต่เหตุปัจจัยปรุงแต่งขึ้น เพียงแต่ไม่มีรูปร่างตัวตนให้รู้ได้เพียงแต่สัมผัสได้ด้วยใจ ดังที่ได้กล่าวไว้บ่อยๆครั้งแล้วในเรื่องอื่นๆ
ดังนั้นบางครั้งจึงเกิดการสับสนขึ้น เนื่องจากความหมายที่ครอบคลุมอย่างกว้างขวางแทบทุกสรรพสิ่งของสังขารนี่เอง ดังนั้นจึงจำแนกให้เห็นก็เพียงเพื่อประโยชน์ในภายหน้าในการโยนิโสมนสิการ ในปฏิจจสมุปบาทธรรม ขันธ์ ๕ และแม้แต่พระไตรลักษณ์ .
๑. สังขาร ในความหมาย พระไตรลักษณ์ อันหมายถึง สิ่งที่ถูกปัจจัยปรุงแต่ง, สิ่งที่เกิดจากเหตุปัจจัยทั้งรูปธรรม นามธรรม ได้แก่ขันธ์ ๕ และ สิ่งทั้งหลายทั้งปวง อันพึงยกเว้นแต่อสังขตธรรม(ธรรมหรือสภาวะธรรม อันมิได้เกิดแต่เหตุปัจจัย)เท่านั้น จึงครอบคลุมความหมายของสังขารทั้งหลายทั้งปวงล้วนสิ้น จึงรวมทั้งสังขารในข้อ ๒ และข้อ ๓ ด้วย หรือกล่าวได้พอสังเขปดังนี้
สังขาร สิ่งที่ถูกปรุงแต่งขึ้นทั้งหลายทั้งปวง จึงล้วนเกิดแต่เหตุปัจจัย มาประชุมปรุงแต่งกัน จึงเกิดขึ้น เพียงแลดูประหนึ่งว่าเป็นสิ่งๆเดียว แต่โดยปรมัตถ์แล้วประกอบด้วยเหตุหรือสิ่งต่างๆหลายๆสิ่ง มาประชุมเป็นปัจจัยปรุงแต่งกันขึ้น ด้วยเหตุดังนี้นี่เองจึงไม่ใช่สิ่งๆเดียวกันอย่างแท้จริง จึงต่างล้วนมีความไม่สมบูรณ์แอบแฝงซ่อนเร้นอยู่ในตัวตนของมันเอง จึงล้วนเกิดขึ้นมาพร้อมด้วยสภาพหรือสามัญญลักษณะประจำตัวที่มี ความไม่เที่ยงกล่าวคือ มีอาการแปรปรวนไปต่างๆนาๆ, เป็นทุกข์ กล่าวคือ เพราะแปรปรวนจึงคงทนอยู่ไม่ได้ ต้องดับไปเป็นที่สุด, เป็นอนัตตา กล่าวคือ จึงไม่มีตัวตนที่ถาวรหรือไม่มีตัวตนที่เป็นแก่นแกนอย่างแท้จริง จึงก่อทุกข์โทษภัยให้แก่ผู้ที่ไปอยากด้วยตัณหาหรือผู้ที่ไปยึดไว้ด้วยอุปาทาน ว่าเป็นตัวตนหรือของตัวของตน
๒. สังขาร ในขันธ์ ๕ หรือสังขารขันธ์ อันเกิดขึ้นจากการปรุงแต่งของขันธ์ทั้ง ๔ คือ รูปขันธ์(กาย) เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ และวิญญาณขันธ์ จึงเกิดสังขารขันธ์(ธรรมที่เป็นเครื่องปรุงแต่งจิต) หรืออาการต่างๆของจิต หรือเรียกกันง่ายๆว่าอารมณ์ทางโลกต่างๆ แล้วยังผลให้เกิดกรรม(การกระทำชนิดต่างๆ)ขึ้น โดยอาศัยเจตนาเป็นปัจจัยร่วมอีกด้วย หรือทางพุทธศาสน์เรียกว่าสัญเจตนา กล่าวคือ มีเจตนาที่ปรุงแต่งการกระทำต่างๆ อันมี ๓
๑. กายสังขาร สภาพที่ปรุงแต่งการกระทำทางกาย คือ กายสัญเจตนา
|
กายสังขาร |
=
กายสัญเจตนา |
กายทวาร
|
กายกรรม |
|
สภาพปรุงแต่งการกระทําทางกาย |
= จิตเจตนาหรือคิดที่แสดงออกทางกาย |
ทางกาย |
การกระทําทางกาย |
๒. วจีสังขาร สภาพที่ปรุงแต่งการกระทำทางวาจา คือ วจีสัญเจตนา
|
วจีสังขาร |
=
วจีสัญเจตนา |
วจีทวาร
|
วจีกรรม |
|
สภาพปรุงแต่งการกระทําทางวาจา |
= จิตเจตนาหรือคิดที่จงใจแสดงออกทางวาจา |
ทางวาจา |
การกระทําทางวาจา |
๓. จิตตสังขาร จิตสังขาร หรือ มโนสังขาร สภาพที่ปรุงแต่งการกระทำทางใจ คือ มโนสัญเจตนา
|
มโนสังขาร,จิตสังขาร,คิด |
=
มโนสัญเจตนา |
มโนทวาร
|
มโนกรรม |
|
สภาพปรุงแต่งการกระทําทางใจ |
= จิตเจตนาหรือคิดที่จงใจแสดงออกทางใจ(คิด) |
ทางใจ |
การกระทําทางใจ |
๓. สังขาร อันเป็นองค์ธรรมหนึ่งในวงจรปฏิจจสมุปบาทธรรม ที่มีความหมายว่า การกระทำ กล่าวคือสิ่งที่ปรุงแต่งทางใจให้เกิดการกระทำทางกาย วาจา ใจต่างๆขึ้น แต่แฝงด้วยกิเลสที่เป็นเหตุปัจจัยสืบเนื่องให้เกิดความทุกข์ต่อไป จึงไม่ได้มีความหมายว่าอวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดขึ้นของสังขารที่ไปตีความผิดกันว่า หมายถึงชีวิตหรือร่างกายตัวตนที่เกิดขึ้นในโลกแต่อย่างใด เป็นเหตุให้มีการตีความเข้าใจกันไปผิดๆในปฏิจจสมุปบาทธรรมมาอย่างยาวนาน ดังความในพระสูตรสัญเจตนิยวรรคนี้ ที่กล่าวยืนยันถึง อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขารที่หมายถึง สิ่งปรุงแต่ง เช่น กายสังขาร วจีสังขาร มโนสังขารต่างๆขึ้น จึงเป็นสังขารสิ่งที่ถูกปรุงแต่งทางใจจนเกิดการกระทำต่างๆที่มีความเฉพาะหรือเน้นลงไปอีกว่า เจือกิเลสจากที่สั่งสมไว้แต่อดีต หมายถึง สิ่งที่ได้เคยประพฤติ ปฏิบัติ อบรมมาแต่อดีตตั้งแต่เกิดจวบจนปัจจุบันหรือนานจนไม่รู้ว่าสักกี่ภพกี่ชาติมาแล้วนั้น หรือก็คือเป็นผลมาจากการสั่งสมหรืออาสวะกิเลสอันเป็นความจำที่นอนเนื่องด้วยกิเลส ที่เป็นเหตุปัจจัยที่จะทำให้จิตขุ่นมัว จะด้วยสุขหรือทุกข์ก็แล้วแต่ อันล้วนเนื่องมาจากอดีตนั่นเอง และร่วมด้วยกับอวิชชาความไม่รู้ จึงทำให้ไม่เห็นและไม่ปฏิบัติไปตามความเป็นจริง จึงเป็นเหตุเป็นปัจจัยแก่กันและกันจึงเกิดองค์ธรรมสังขารอันจักเป็นเหตุปัจจัยก่อความทุกข์อันเป็นไปตามปฏิจจสมุปบาทธรรม ดังนั้นองค์ธรรมสังขารในปฏิจจสมุปบาท จึงหมายถึง สังขารสิ่งปรุงแต่งที่เนื่องมาจากการสั่งสมมาแต่อดีตจึงล้วนแฝงด้วยกิเลสที่นอนเนื่องอยู่ที่ก่อให้เป็นความทุกข์นั่นเอง สังขารเหล่านี้ล้วนเนื่องกับอดีตอันคือเนื่องมาจากอาสวะกิเลสนั่นเอง ดังเช่น ความคิด คิดนึกปรุงแต่ง การกระทำต่างๆ จิตหดหู่ จิตฟุ้งซ่าน จิตโมหะ โทสะ โลภะ ที่ผุดขึ้นด้วยอาการธรรมชาติต่างๆของชีวิต หรือถูกกระตุ้นเร่งเร้าจากการกระทบผัสสะ หรือโดยเจตนาขึ้นมาก็ตามที แล้วย่อมดำเนินไปตามวงจรปฏิจจสมุปบาทตามวิสัยปุถุชน คือเมื่อมีสังขารเกิดขึ้นแล้ว จึงเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณคือความรู้แจ้งอารมณ์ จึงหมายถึงรู้แจ้งในสังขารที่เกิดขึ้นมาข้างต้นอันเป็นธรรมชาติของชีวิต เมื่อวิญญาณเกิดแล้ว นาม-รูปอันหมายถึงการกล่าวถึงการทำงานของขันธ์ ๕ ครบองค์ประกอบของขันธ์ ทั้ง ๕ จึงย่อมเกิด(การทำงาน)ขึ้น คือมีวิญญาณขันธ์เกิดขึ้น จนครบขันธ์ทั้ง ๕ ให้ทำงานตามปกติของชีวิต เมื่อนาม-รูปเกิด สฬายตนะคือการทำงานของอายตนะภายใน คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ จึงพร้อมทำงานต่างๆตามหน้าที่ของตน จึงเกิดการผัสสะขึ้น จึงยังให้เกิดเวทนา ถ้าเป็นสุขเวทนาก็ติดใจอยากหรือหมกใจต่อเวทนาความรู้สึกนั้นๆอันคือตัณหา ถ้าสังขารนั้นยังให้เกิดทุกขเวทนาก็หมกมุ่นหรือหมกใจไม่อยากให้เกิด ไม่อยากให้เป็น ไม่อยากรับรู้ อันล้วนเป็นวิภวตัณหา จึงดำเนินไปตามวงจรของทุกข์ปฏิจจสมุปบาทต่อไปด้วยอวิชชาความไม่รู้
ถ้ามีสติเห็นเวทนาดังข้างต้น พร้อมด้วยปัญญาที่เข้าใจว่าเวทนาเหล่านี้ล้วนเป็นไปตามสภาวะธรรม(ชาติ)อันต้องเป็นเช่นนี้เอง จึงย่อมเกิดเวทนาเป็นสุขเป็นทุกข์บ้างเป็นธรรมดา เกิดเป็นสังขารขันธ์ต่างๆนาๆขึ้น เช่น โทสะ แล้วอุเบกขาไม่เอนเอียงแทรกแซงด้วยถ้อยคิด หรือกริยาจิตใดๆเช่นไม่หมกใจ,ไม่หมกมุ่นจดจ้องต่อเวทนาเหล่านั้น
องค์ธรรมสังขารในปฏิจจสมุปบาท สามารถที่จะกล่าวได้ว่าเป็น สังขารกิเลส (สังขารที่เกิดจากอาสวะกิเลสที่นอนเนื่อง)หรือจะเรียกว่า กิเลส โดยตรงก็ยังได้ เกิดการกระทำทางจิต ทางกาย และทางวาจา อันจะเป็นเหตุให้เกิดทุกข์
สังขารในปฏิจจสมุปบาทจึงทำหน้าที่เป็นสังขารกิเลสดังที่กล่าวแล้ว ก็อาจพิจารณาว่าเป็นสังขารวิบากก็ถูกต้องดีงามเช่นกัน วิบาก แปลว่า ผลที่ได้รับ สังขารวิบาก จึงหมายถึง ผลที่ได้รับจากการกระทําหรือสิ่งปรุงแต่งอันเกิดแต่อดีตหรืออาสวะกิเลสที่สั่งสมนั่นเอง
สังขารในปฏิจจสมุปบาท
ขอให้โยนิโสมนสิการโดยแยบคายในองค์ธรรมสังขาร ในปฏิจจสมุปบาท ถึงความเป็นสภาวธรรม หรือธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ อย่างหนึ่งของผู้มีชีวิต แล้วจะรู้จะเข้าใจว่าทำไมจึงไม่มีผู้ใดเอาชนะสังขาร เหล่านี้ได้ ถ้าปราศจากธรรมของพระองค์ท่าน ลองพิจารณาในสังขารเหล่านี้
สังขาร การอ่านหนังสือ เมื่อตากระทบตัวอักษรหนังสือแล้ว ไม่ให้รู้ ไม่เข้าใจความหมายสักแม้เสี้ยวนาทีหนึ่งได้ไหม ?
สังขาร ขี่จักรยานเป็นแล้ว เมื่อผ่านกาลเวลาไปหลายปี ไม่สามารถขี่ได้อีก ?
สังขาร ว่ายนํ้าเป็นแล้ว แม้ผ่านไป ๑๐ ปี เมื่อตกนํ้าแล้วจะว่ายนํ้าไม่เป็น ?
สังขาร บุคคลิกลักษณะการกระทำต่างๆ มีทั้งที่ดีก็เป็นบุคคลิกโดยทั่วไป และไม่ดีก็เป็นสังขารขันธ์ที่จะก่อให้เป็นทุกข์
สังขาร เหล่านี้อันได้สั่งสม อบรม หรือประพฤติ ปฏิบัติมาแต่เก่าก่อน ด้วยความพยายามหรือการติดเพลินก็แล้วแต่เหล่านี้ เป็นดังเช่นสังขารในปฏิจจสมุปบาท เพียงแต่บางอย่างเป็นสังขารในทางโลก ไม่ได้เกิดแต่อวิชชา จึงไม่ยังให้เกิดทุกข์ แต่ต้องการชี้เน้น ให้เห็นสภาวะธรรม หรือเข้าใจถึงความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติขององค์ธรรมสังขาร ในปฏิจจสมุปบาท ซึ่งก็เป็นไปในลักษณาการเดียวกัน ด้วยเหตุดังนี้เองการจะเอาชนะสภาวะธรรมหรือธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ของสังขารอันก่อให้เกิดความทุกข์เหล่านี้ จึงต้องอาศัยธรรมหรือความเข้าใจธรรมชาติของทุกข์อันยิ่งใหญ่ของพระพุทธองค์ท่านเป็นเครื่องช่วยนำพาในการปฏิบัติ และสั่งสมให้เกิดสังขารใหม่อันถูกต้องดีงามอันมิได้เกิดแต่อวิชชา
การโยนิโสมนสิการ สังขารในองค์ธรรมปฏิจจสมุปบาท
เมื่อเริ่มโยนิโสมนสิการก็มักตีความในสังขารผิด มักไปคิดตามที่พอรู้มาแต่อ้อนแต่ออกว่า สังขารที่หมายถึงร่างกายตัวตนบ้าง สังขาร-การกระทำบ้าง สังขาร-สิ่งปรุงแต่งบ้าง กล่าวคือ ไม่เข้าใจความหมายที่กระชับเฉพาะตัว จึงตีความปฏิจจสมุปบาทผิดพลาดไปแต่เริ่มแรกก็มี จึงไม่สามารถดำเนินการพิจารณาต่อไปได้อย่างถูกต้อง
หรือเมื่อเข้าใจว่าสังขารหมายถึงการกระทำตามที่ได้สั่งสมหรืออบรมประพฤติปฏิบัติมาแต่เก่าก่อนหรือเนื่องมาจากอาสวะกิเลสที่สามารถผุดขึ้นมาด้วยอาการธรรมชาตินั่นเอง ก็เกิดวิจิกิจฉาขึ้นว่า ทำไมสังขารจึงเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ วิญญาณน่าจะเกิดก่อน เหตุเพราะตามความเชื่อที่มีมาแต่เดิมอย่างมิจฉาทิฎฐิที่เข้าใจกันโดยทั่วไปว่าผู้มีชีวิตนั้นต้องมีวิญญาณกำกับอยู่แล้ว(เจตภูต)อันฝังตัวอยู่อย่างลึกซึ้งและแน่นแฟ้นตามที่มีการถ่ายทอดสั่งสอนอบรมกันมาอย่างไม่รู้ตัว เมื่อเจริญวิปัสสนาจึงมักแฝงด้วยความเข้าใจดังกล่าวเข้าร่วมด้วยโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นพิจารณากี่ครั้งกี่ทีก็ออกมาในรูปที่ว่าควรเกิดวิญญาณขึ้นก่อนหรือวิญญาณมีมาตั้งแต่เกิดแล้ว ดังนั้นจึงเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดสังขารการกระทำ แต่ความจริงวิญญาณในปฏิจจสมุปบาทนี้หมายถึง วิญญาณ ๖ ที่หมายถึง วิญญาณตา วิญญาณหู ฯ. ที่หมายถึงระบบประสาทหรือระบบนำส่งข้อมูลในการรับรู้ในสังขารต่างๆที่เกิดขึ้น(ไปยังสมองหรือหทัยวัตถุอันเป็นเหตุปัจจัยหนึ่งของจิต) จึงมิได้หมายถึงวิญญาณที่หมายถึงปฏิสนธิวิญญาณหรือเจตภูตที่มีมาแต่การเกิดหรือวิญญาณที่ลอยละล่องตามที่ปุถุชนทั่วไปเข้าใจกันโดยพื้นๆอันแอบแฝงอยู่ในจิต และเป็นวิญญาณที่เกิดเฉพาะกิจนั้นๆ กล่าวคือ เกิดขึ้นมาเนื่องสัมพันธ์กับสังขารที่ผุดขึ้นหรืออาจปรุงแต่งขึ้นมานั่นเอง
(อ่านรายละเอียดเรื่องวิญญาณที่แสดงอย่างปรมัตถ์หรือโลกุตระ จากพระสูตรชื่อ มหาตัณหาสังขยสูตร ที่จำเป็นต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้องในเรื่องของวิญญาณ เพื่อการเจริญวิปัสสนาหรือโยนิโสมนสิการปฏิจจสมุปบาทหรือขันธ์ ๕)
บางคนมีพื้นนิสัยเป็นคนเจ้าโทสะ บางคนเป็นคนเจ้าราคะ(โลภะ) บางคนเป็นคนหดหู่ เศร้าสร้อย หรือชอบวิตกกังวล (โมหะ) สิ่งต่างๆเหล่านี้ก็ล้วนเป็นจิตสังขารตามที่ได้สั่งสมอบรมหรือปฏิบัติมาแต่เก่าก่อนอย่างหนึ่งเช่นกัน อันเกิดขึ้นเนื่องจากอาสวะกิเลสที่เก็บจำนอนเนื่องอยู่นั่นเอง เพียงแต่เป็นการพิจารณาในมุมมองที่กว้างขวางขึ้นเท่านั้น ดังนั้นจิตสังขารในจิตตานุปัสสนาในสติปัฏฐาน ๔ จึงล้วนสามารถเป็นสังขารอันสั่งสมหรือเคยชินในปฏิจจสมุปบาทได้เช่นกัน ดังเช่น ราคะ โทสะ โมหะ จิตหดหู่ จิตฟุ้งซ่าน จิตเป็นฌาน จิตเป็นสมาธิ ดังนั้นสังขารเหล่านี้จึงสามารถเกิดขึ้นมาได้เช่นสังขารความคิดต่างๆเช่นกัน ดังเช่น ผู้ที่มีพื้นนิสัยความหดหู่หรือวิตกกังวลใจอยู่เสมอๆอันได้เคยสั่งสมไว้อย่างมาก ดังนั้นบางทีอยู่ดีๆสังขารความหดหู่หรือวิตกกังวลก็อาจผุดขึ้นมาเหมือนสังขารความคิดต่างๆได้เป็นธรรมดาเช่นกันอันเนื่องมาแต่อาสวะกิเลสและอวิชชาเป็นเหตุปัจจัยกันนั่นเอง และปล่อยให้เกิดการคิดปรุงแต่งต่อไปจนเป็นอุปาทานทุกข์อันเร่าร้อนเผาลนและยาวนานมากขึ้นไปเป็นลำดับ ดังนั้นเมื่อมีสติรู้เท่าทันเมื่อสังขารเหล่านี้เกิดขึ้นแล้ว ก็อุเบกขา ไม่เอนเอียงแทรกแซงปรุงแต่งต่อด้วยกริยาจิต หรือถ้อยคิด ใดๆ ทุกขเวทนาอันเกิดแต่สังขารเหล่านั้นก็จะแสดงพระไตรลักษณ์ให้เห็น กล่าวคือ ค่อยๆ...ค่อยจางๆ...ค่อยจาง...คลาย....จนดับไปเป็นที่สุด เหมือนดังกองฟืนที่ไม่มีเชื้อไฟเข้าไปเพิ่ม จึงย่อมค่อยๆหรี่...หรี่ลง....จนมอดดับไปในที่สุด
ได้กล่าวถึงสภาวะของทุกขเวทนาหรือจิตสังขารที่แสดงพระไตรลักษณ์อยู่เนืองๆว่า เป็นไปในลักษณาการที่ "ค่อยๆ...ค่อยจางๆ...ค่อยจาง...คลาย...จนดับไปเป็นที่สุด เหมือนดังกองฟืนที่ไม่มีเชื้อไฟเข้าไปเพิ่ม" เพราะต้องการเน้นให้เห็นในสภาวะการดับของกระบวนการจิตอย่างแจ่มแจ้ง อันมีอนิจจังความแปรปรวนที่เกิดขึ้นก่อน จึงค่อยๆจางคลาย จนดับไปด้วยทุกขัง เพราะเมื่อประสบกับทุกขเวทนาปุถุชนย่อมล้วนอยากให้ดับไปโดยเร็วดังใจด้วยการพยายามผลักไสต่างๆนาๆ เมื่อไม่ได้ดังใจและเพราะความไม่รู้จึงกลายเป็นสร้างตัณหาความอยากดับในทุกข์อันเร่าร้อนที่เกิดนั้นเพิ่มขึ้นไปอีก อันย่อมก่อเกิดความทุกข์เร่าร้อนกระวนกระวายเพิ่มขึ้นไปอีกนั่นเอง จึงเหมือนการเพิ่มเชื้อไฟหรือฟืนเข้าไปในกองไฟเหมือนความคิดปรุงแต่งเช่นกัน กองไฟอันเร่าร้อนเผาลนและกำลังมอดลงๆเพราะไตรลักษณ์จึงย่อมต้องลุกโพลงขึ้นมากกว่าเดิมอีกเป็นธรรมดา ดังนั้นการรู้การเข้าใจในลักษณาการในการดับไปของทุกขเวทนาหรือความทุกข์หรือจิตสังขารเช่นโทสะ โมหะ ฯลฯ.อย่างถูกต้องนั้น ก็จะช่วยไม่ให้เกิดความดิ้นรนทะยานอยาก(ตัณหา)หรือการเกิดตัณหาซ้อนตัณหาเดิมในการอยากดับทุกข์นั้นไวๆเพราะความไม่รู้ จิตจึงไม่ยอมรับสภาวธรรมของการดับไปอันเป็นเช่นนี้เอง (ตถตา)
|