อาการต่างๆขององค์ฌาน |
|
อาการขององค์ฌานต่างๆ ดังแสดงไว้ในเรื่อง ฌาน-สมาธิ แล้วนั้น อันมี วิตก วิจาร ป๊ติ สุข เอกัคคตา จะขอนำมาแสดงพอสังเขปให้รู้จักอาการต่างๆที่อาจพึงเกิดขึ้นแก่นักปฏิบัติ
ฌาน ประกอบด้วย องค์ฌาน อันมี ๖ เป็นเหตุปัจจัยกัน หมายถึง ฌาน มีสมาธิความตั้งใจมั่นดังข้างต้นเป็นองค์ธรรมหรือองค์ประกอบหลักดังที่กล่าวแล้ว ยังประกอบด้วยองค์ธรรมหรือองค์ประกอบของฌานที่สำคัญๆอีก ๖ องค์ ด้วยกัน คือ
๑. วิตก ความตรึก, ตริ, การคิด, ความดำริ, การยกจิตขึ้นสู่อารมณ์ หรือ การตรึงจิตไว้กับอารมณ์, อารมณ์ ในทางธรรมหรือพุทธศาสนานั้น หมายถึง สิ่งที่จิตไปยึดเหนี่ยว หรือกำหนด ดังเช่น จิตไปยึดเหนี่ยวในคำบริกรรมต่างๆ เช่น พุทโธ ดังนั้นคำบริกรรม"พุทโธ"จึงทำหน้าที่เป็นอารมณ์, จิตยึดเหนี่ยวหรือกำหนดในคำบริกรรม"สัมมาอรหัง"เป็นอารมณ์, หรือจิตยึดเหนี่ยวหรือกำหนดตาม"ลมหายใจ"เป็นอารมณ์, หรือจิตยึดเหนี่ยว"การคิดพิจารณาในธรรม"เป็นอารมณ์(วิปัสสนาสมาธิ), การยึดเหนี่ยวหรือกำหนดใน"อิริยาบถ" คือการเคลื่อนไหวในส่วนต่างๆของร่างกายเป็นอารมณ์ เช่น อาการเคลื่อนไหวของมือ, ท่าร่ายรำ, การเต้น, การร้องเพลง(สรรเสริญดังบางศาสนา), จิตจึงสามารถเกิดวิตกได้จากการไปยึดเหนี่ยวได้ทั้งในการบริกรรม การเพ่ง การเต้น การร้อง การรำ การเต้นรำบูชาดังประเพณีบางแห่ง ในทวีปอาฟริกา ฯลฯ. ดังนั้นการปฏิบัติเช่น การเต้น การรำ การร้องฯ.ต่างล้วนสามารถใช้เป็นวิตกได้ทั้งสิ้น จึงกลับกลายหรือเกิดเป็นสมาธิหรือฌานได้ ทั้งโดยที่รู้ตัว หรือโดยไม่รู้ตัวก็เพราะความไม่รู้ (ดังนั้นจึงสามารถใช้"การคิดพิจารณาธรรมะหรือธรรม"เป็นวิตกได้ด้วยเช่นกัน)
คำว่า" วิตก" นี้มาจากบาลี จึงไม่ใช่ความหมายในภาษาไทยที่หมายความกันทั่วไปว่า "ความเป็นกังวล"
วิตก ที่ดีมากที่สุดประการหนึ่ง คือ ธรรม หรือธรรมะ หมายถึงการนำข้อธรรมต่างๆ ที่สงสัย หรือเห็นว่ามีประโยชน์ มาเป็นวิตก หรือนำมาคิดนึกในธรรม หรือก็คือการคิดพิจารณาในธรรม(ธัมมวิจะยะ) ดังเช่น ปฏิจจสมุปบาท, อิทัปปัจจยตา, ขันธ์ ๕, อายตนะต่างๆ, โพชณงค์, นิวรณธรรม(นิวรณ์) ดังเช่นว่า เกิดจากอะไร, ดับไปได้อย่างไร, อะไรเป็นเหตุปัจจัย ฯลฯ. นำมาคิดพิจารณาอย่างแยบคาย เป็นวิตกในณาน
๒. วิจาร ความตรอง, การพิจารณาอารมณ์, การปั้นอารมณ์, การฟั้นอารมณ์ คือการเคล้าคลึงอารมณ์ให้เข้าเป็นเนื้อเดียว คือราบรื่นกลมกลืนไปกับจิตหรือสติ หรือก็คือการทำจิตหรือสติให้แน่วแน่เบิกบานหรือยินดี(ปราโมทย์)ในอารมณ์ที่นำมาเป็นเครื่องวิตกนั่นเอง
วิจาร ที่ดีได้แก่ ธรรมวิจารณ์ คือการนำข้อธรรม มาเป็นวิตกดังข้างต้นนั้น มาตรอง ใคร่ครวญ เฟ้นคิดพิจารณา คลุกเคล้า ให้เกิดความเข้าใจ ดังเช่น ในวิตกเรื่องนิวรณธรรมข้างต้น เมื่อพิจารณา, เฟ้น เคล้า ใคร่ครวญได้อย่างแน่วแน่ คือการวิจาร (หรือลองทำการวิจารโดยอาศัยลมหายใจ หรือแม้แต่การบริกรรมพุทโธก็ได้ ด้วยการเคล้าคลึงลมหายใจหรือคำบริกรรมอย่างนุ่มนวลผ่อนคลาย ราวกับร่ายรำมวยจีนอันนุ่มนวลอ่อนช้อย จะยังให้เกิดปีติได้ง่ายขึ้น กล่าวง่ายๆว่า ทำการวิจารแบบนุ่มนวล ใจผ่อนคลาย แช่มชื่น ไม่เกร็ง ไม่ตั้งใจมากเกินควร จะทำให้เกิดองค์ปีติได้ง่ายขึ้น)
จึงไม่ใช่คำว่า " วิจารณ์ " ในทางโลกหรือภาษาไทย อันมีความหมายถึง การติชม, การแสดงความคิดเห็น
๓. ปีติ ความซาบซ่าน, ความอิ่มเอิบ, ความดื่มด่ำในใจ อันยังผลให้รู้สึกสุขสบายทั้งต่อกาย และจิต จัดแบ่งออกตามอาการที่ปรากฎ มี ๕ คือ
๓.๑ ขุททกาปีติ ปีติเล็กน้อยพอขนลุก ขนชัน น้ำตาไหล นํ้าตาคลอ หรือนํ้าตาซึม ด้วยความอิ่มเอิบ ด้วยความยินดี
๓.๒ ขณิกาปีติ ปีติชั่วขณะรู้สึกแปลบๆ ดุจฟ้าแลบ หรือดั่งมียุงมากัด มดไต่ หรือไรมาตอม หรือคล้ายมีประจุไฟฟ้าอ่อนๆ จึ่งรู้สึกยุบยิบหรือแปลบๆตามบางส่วนของกาย หรือใบหน้า
๓.๓ โอกกันติกาปีติ ปีติเป็นระลอก รู้สึกไหลซู่เป็นระยะๆ ดุจดั่งคลื่นที่ซัดฝั่งเป็นระลอกๆ เช่น ดั่งรู้สึกขนหัวลุกชันเป็นระลอกๆซู่ หรือความรู้สึกซู่ซ่ากายเช่นขนลุกขนชันเป็นระลอกๆ (คล้ายดั่งอาการเวลาปวดถ่ายท้องมากๆเป็นระลอกๆ)
๓.๔ อุพเพคาปีติ ปีติโลดลอย ใจฟู รู้สึกตัวเบา หรือ(รู้สึกราวกับว่า)ตัวลอย เปล่งอุทานเป็นคำพูดต่างๆนาๆออกมาด้วยความอิ่มเอิบ ร้องไห้โฮ สะอึกสะอื้น หรือตัวโยก ตัวคลอน กายสั่นเทิ้ม แหงนคอหงาย คู้กายควํ่า หรือรู้สึกว่าตามร่างกายหรือศีรษะมีอาการยืด หด ขยาย...พอง ยุบ ฯลฯ. ผู้เขียนเรียกปีติแบบนี้ว่า ปีติแบบโลดโผน
๓.๕ ผรณาปีติ ปีติซาบซ่าน อิ่มเอิบ ซาบซ่านอาบไปทั่วร่าง เย็นซาบซ่าน หรือคล้ายมีมวลประจุอ่อนๆ ลูบไล้ซาบซ่านไปทั่วร่าง เป็นองค์ประกอบของสมาธิโดยทั่วๆไป
บางคนมี ปีติ ที่รุนแรงโลดโผนแบบอุพเพคาปีติ เมื่อเกิดขึ้นแล้วทั้งผู้ปฏิบัติ หรือผู้พบเห็น หรืออาจแม้แต่ผู้สอนที่ไม่รู้จริง เกิดอธิโมกข์จึงเลื่อมใสไปผิดๆ หรือเกิดความตกใจหรือกลัว หรือเกิดวิจิกิจฉา จนต้องหยุดชะงักการปฏิบัติไปก็มี แล้วยังร่วมด้วยอวิชชาความไม่รู้ตามความเป็นจริง จึงฟุ้งซ่านหรือเข้าไปร่วมปรุงแต่งไปต่างๆนาๆทั้งจากเจ้าตัวผู้ปฏิบัติเอง และผู้ที่พบเห็น ทั้งอีกผู้สั่งสอนที่ไม่รู้จริง ดังเช่น ปีติจนกายสั่นเทิ้ม หรืออุทานคำพูดออกมาแบบต่างๆนาๆ ก็มักเกิดการเข้าใจผิด, สอนกันผิดๆ, อ้างกันไปผิดๆว่า เป็นเจตภูตหรือกายทิพย์กำลังออกจากร่างไปเสียก็มี เป็นผีเข้า เป็นเจ้าทรง เป็นองค์ประทับก็มี ยิ่งถ้าผู้ปฏิบัติและผู้พบเห็นหรือผู้สอนไปประกอบน้อมเชื่อด้วยอธิโมกข์ ในที่สุดก็จะรู้สึกและเข้าใจไปว่า เป็นไปดังนั้นจริงๆอย่างเหนียวแน่นด้วยมายาของจิต ด้วยไม่รู้หรืออวิชชา ว่าเป็นเพียงอาการของปีติ อันเป็นฌานวิสัย อันเป็นอจินไตย จึงเกิดได้นานารูปแบบตามจริต, การสั่งสม, วิสัยการปฏิบัติของนักปฏิบัติเอง ฯลฯ.จึงไม่สามารถระบุได้ เป็นเพียงสภาวธรรมหรือธรรมชาติอย่างหนึ่งของปีติเองเป็นธรรมดาๆ จึงอย่าได้หลงไหลได้ปลื้มจนเกินเหตุจนเป็นตัณหาหรือโมหะ
๔. สุข ความสบาย, ความสำราญ (สุข สบาย, มีความผ่อนคลายและสงบกว่าปีติ กล่าวคือ คล้ายปีติที่มีทั้งสุขสบาย แต่เด่นชัดทางกายและใจน้อยกว่า และไม่รุนแรงโลดโผนเหมือนปีติ), อาการจำพวกเดียวกับปัสสัทธิ(ความสงบกายใจ, ความผ่อนคลายกายใจ)
๕. อุเบกขา ความสงบ ความมีใจเป็นกลาง ความวางเฉยต่อสังขารสิ่งปรุงแต่งต่างๆ
๖. เอกัคคตา ความมีอารมณ์หนึ่งเดียว คือ ความมีจิตแน่วแน่เป็นเอกหรือเป็นสำคัญกับสิ่งที่กำหนด(อารมณ์)
อาการขององค์ฌานต่างๆในฌาน ดังเช่น ปีติและสุขอันเป็นองค์ประกอบของฌานนั้นคล้ายคลึงกัน จนยากต่อการสื่อเป็นภาษาเพื่อแสดงความหมายหรือความรู้สึกอย่างตรงๆแทบไม่ได้ ตามปกติแล้วเป็นอาการปัจจัตตังรู้ได้เฉพาะตน แต่ก็จะพยายามสื่อสาร ยกตัวอย่าง ให้พอเห็น หวังพอให้เข้าใจได้บ้างพอสังเขป ดังนี้
ดังเช่น เมื่อได้มาพบกันโดยบังเอิญกับบุคคล อันเป็นที่รักใคร่ชอบพอมาก หรือเป็นที่เคารพนับถืออย่างมาก และมีความรักหรือคิดถึง อาจเพราะไม่พบกันนานเอาการอยู่ ดังนั้นเมื่อบังเอิญเกิดมาประสบพบกันเข้า อาการที่เกิดขึ้นเมื่อไปพบกันเข้าในขณะจิตแรกๆนั้น จะเกิดอาการทางโลกๆที่เรียกกันว่าความยินดี คือ มีความรู้สึกอิ่มเอิบหรือลิงโลด จนบางครั้งมรอาการนํ้าตาซึมหรือนํ้าตาไหลเอิบอาบ(อุปมาดั่งอาการ ขุททกาปีติ ฯ.) และอาจประกอบด้วยการอุทานทักทายกันลั่นด้วยอาการลิงโลดยินดี กระโดดโอบกอดกันด้วยความรักคิดถึงก็มี(อุปมาดั่ง อุพเพคาปีติ) เหล่านั้นล้วนเป็นอาการปีติหรือความอิ่มเอิบใจ ลิงโลด ซาบซ่านใจ, หลังจากนั้นสักพักหนึ่ง จิตก็ย่อมคลายจากอาการของความอิ่มเอิบลิงโลดยินดีอันรุนแรงหรือปีติดังกล่าวลงโดยธรรมหรือตามธรรมชาติเองนั่นแล กล่าวคือย่อมเกิดอาการผ่อนคลายขึ้น กล่าวคือวิตกและวิจารในบุคคลนั้นย่อมดับไปแล้ว และปีติย่อมแผ่วเบาลงไปเป็นลำดับจนคลายดับไป คงหลือแต่คือปัสสัทธิหรือสุข ดังเริ่มมีการสนทนาปราศัย คือทักทาย พูดคุย หรือถามไถ่ในสารทุกข์สุขดิบกัน คุยกันด้วยความรักคิดถึง หยอกล้อกัน อันย่อมประกอบด้วยอาการของความสุข ความสบายใจที่ได้มาพบกัน แต่อาการยินดีลิงโลดย่อมแผ่วเบากว่าปีติที่เกิดขึ้นมาในคราแรกข้างต้น เหล่านี้คืออุปมาได้ดั่งอาการของสุข หรือปัสสัทธิในฌานนั่นเอง
ถ้าพิจารณาโดยแยบคายจริงๆ คือการโยนิโสมนสิการต่อไปอีก ก็จะพบว่าจิตขณะนั้นก็ประกอบด้วยเอกัคคตาด้วย กล่าวคือ มีจิตที่ค่อนข้างแน่วแน่หรือจดจ่อเป็นเอกอยู่กับบุคคลนั้นนั่นเอง ไม่สนใจที่หมายถึงให้ความสนใจน้อยลงในบุคคลหรือแม้ในสิ่งอื่นๆรอบข้าง บุคคลนั้นจึงเป็นเอกหรือธรรมเอก ส่วนบุคคลอื่นๆรอบข้างหรือสิ่งอื่นๆในชั่วขณะนั้นเป็นเพียงดั่งฉากหรือองค์ประกอบย่อยๆส่วนหนึ่งเท่านั้น เมื่อพิจารณาต่อไปให้ดีโดยแยบคายก็จะพบความจริงว่า ในขณะแรกที่ประสบพบกันนั้น บุคคลอันเป็นที่รักที่คิดถึงนั้นได้ทำหน้าที่เป็นอารมณ์คือที่กำหนดของจิต หรือองค์ฌานวิตกไปโดยไม่รู้ตัวแล้วนั่นเอง กล่าวคือ เป็นที่กำหนดหรือเป็นที่ยึดหมายของจิตในขณะนั้นเพียงแต่เป็นไปโดยไม่รู้ตัว และจิตขณะนั้นก็ได้มีการวิจารเคล้าแนบแน่นกลมกลืนลื่นไหลด้วยความสบายใจไปกับการวิตกในบุคคลคนนั้นด้วยความยินดีแล้วนั่นเอง จึงสอดส่ายไปในสิ่งต่างๆน้อยลงโดยไม่รู้ตัว จึงยังให้เกิดองค์ฌานต่างๆขึ้นคือปีติ สุข เอกัคคตา โดยอาการของธรรมหรือโดยธรรมชาติที่เป็นเช่นนี้เอง เป็นธรรมดา
จริงๆแล้วอาการดังกล่าวข้างต้น จึงเป็นอาการของฌานที่เกิดโดยธรรมชาติของชีวิตนั่นเอง เพียงแต่แผ่วเบา และความไม่รู้ด้วยอวิชชาเพราะไม่ได้เล่าเรียนรู้มา และเพียงแค่ไม่แรงเข้มเด่นชัดและแน่วแน่แยกแยะดังในขณะปฏิบัติพระกรรมฐานหรือสมาธิ ที่มีจิตแน่วแน่เป็นสมาธิประณีตกว่า ด้วยความตั้งใจจดจ่ออย่างแน่วแน่เป็นเอก จึงมีกำลังเพราะไม่ซัดส่ายสอดแส่ไปภายนอกจึงย่อมสังเกตุเห็นอาการต่างๆที่เกิดขึ้นและเป็นไปได้เด่นชัดมากกว่า จึงแรงเข้มจนเด่นชัดขึ้นกว่าในสภาวธรรมทั่วไปตามธรรมดา แต่ความจริงยิ่งแล้วก็เหมือนกันทุกประการ เพราะเป็นสภาวธรรมอย่างหนึ่งนั่นเอง, และประกอบครบด้วยองค์ฌานทั้ง ๕ คือ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา ดังแสดงข้างต้น จึงควรเข้าใจว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ ก็เพื่อที่ไม่ไปยึดติดยึดถือด้วยอธิโมกข์ หรือตามความเชื่อผิดๆ(มิจฉาทิฏฐิ) หรือตามการปรุงแต่งต่างๆนาๆด้วยความเข้าใจอย่างผิดๆด้วยอวิชชาสืบๆกันต่อมา สมาธิหรือฌานแม้เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการปฏิบัติวิปัสสนา แต่ต้องขาดเสียซึ่งการติดเพลินหรือติดใจอยาก(นันทิ)แม้ที่เกิดจากความไม่รู้หรืองมงาย จึงปฏิบัติจนไปติดเพลินเป็นวิปัสสนูปกิเลสที่ทำให้รับธรรมได้ยากลำบากยิ่ง กล่าวคือ ต้องเป็นการปฏิบัติเพื่อให้ใจสงบระงับเพื่อนำไปใช้ให้เป็นบาทเป็นฐานหรือเป็นเครื่องเกื้อหนุน เป็นกำลังไปในการเจริญปัญญาหรือวิปัสสนา เพื่อการดับไปแห่งทุกข์นั่นเอง จึงจักถือว่าเป็นสัมมาสมาธิในทางพุทธศาสนา แต่ถ้าเป็นไปโดยอาการของการติดเพลินในความสุข สงบ สบาย หรือเพื่ออิทธิฤทธิ์ เพื่อประโยชน์ในทางโลก ลาภ ยศ ชื่อเสียง สรรเสริญ ก็จัดว่าเป็นมิจฉาฌานสมาธิ อันยังโทษให้ในภายหลังโดยไม่รู้ตัว ต้องพิจารณาโดยแยบคายเพราะมักแอบแฝงอยู่ในจิตในรูปของการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบนั่นเอง กล่าวคือเป็นไปโดยไม่รู้ตัว, มิจฉาสมาธิและมิจฉาญาณมักแสดงอาการของการติดสุข ด้วยอาการจิตส่งในไปเสพรสความสุข หรือแม้ทุกข์ที่จรมา............