|
จงทำญาณให้เห็นจิต ให้เหมือนดั่งตาเห็นรูป |
|
จงทำญาณให้เห็นจิต ให้เหมือนดั่งตาเห็นรูป
เป็นธรรมคำสอนของ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
ญาณ มีความหมายถึงปัญญา จึงหมายถึง การมีสติที่ประกอบด้วยปัญญาให้เห็นจิต, จึงมีความหมายให้เข้าใจได้โดยง่ายว่า "จงทำสติให้เห็นจิต ให้เหมือนดั่งตาเห็นรูป", จิตที่หมายถึง จิตสังขาร ที่มีความหมายรวมทั้ง"เวทนา"และ"จิตสังขาร"คือ สังขารขันธ์(สิ่งปรุงแต่งของจิตคือสิ่งที่จิตปรุงแต่งขึ้น หรือเรียกกันง่ายๆทางโลกว่า"อารมณ์"ต่างๆ เช่น ราคะ โทสะ หดหู่ ฯ.) จึงอีกทั้ง"มโนกรรม"ความคิดอันเป็นผลที่ย่อมเกิดขึ้นมาจากสังขารขันธ์ จึงจัดเป็นส่วนหนึ่งของสังขารขันธ์ด้วยนั่นเอง, ดังนั้นจึงประกอบด้วยการมีสติหรือญาณให้เห็นเท่าทัน เวทนา จิต(สังขารขันธ์และมโนกรรม) ทั้ง ๒ ให้ได้เหมือนดั่ง เมื่อตาเมื่อเห็นรูป ที่ย่อมเกิดความรู้แจ้งในรูปที่กระทบนั้นแทบในทันใด ถ้ายังนึกถึงการรู้เท่ารู้ทันแบบนี้ไม่ออก หรือคิดว่าเป็นไปไม่ได้ ให้ลองพิจารณาดูเรื่องแม่สูตรคูณ หรือการอ่าน การเขียนหนังสือ การพูด ที่ได้สั่งสมอบรมไว้แต่เยาว์วัย ที่เมื่อผู้ใดถามว่า 2*2 เท่ากับเท่าไร ก็จะรู้เท่าทันในทันใดคือรู้เท่ารู้ทันว่า = 4 เมื่อทำดังนี้ได้ คือ ถ้ารู้เท่ารู้ทันจิตดังกล่าวได้ดีดังนี้แล้ว พอเห็นจิตสังขารดังที่กล่าวเกิดขึ้นมา สติจะรู้ทันที ความคิดของจิตก็จะสงบลงได้ทันที เพราะไม่ได้ถลำเข้าไปปรุงแต่งหรือต่อล้อต่อเถียงกับจิตให้กิเลสพอกพูนจนแก่กล้ายิ่งๆขึ้นไป กล่าวคือไม่เอา หรือหยุดเสีย หรืออุเบกขาสัมโพชฌงค์ เสียแต่ขณะแรกๆ จิตก็ย่อมสงบได้พลัน
ดังนั้นนักปฏิบัติที่จำแนกแยกแยะและเห็นจิต แม้เข้าใจได้ดีพอควรแล้ว แต่ก็มักมีวิจิกิจฉาความสงสัยอยู่เนืองๆว่า สติเห็นจิตแล้ว แต่จิตไม่สงบลงไปได้ง่ายๆเลย กล่าวคือการหยุด หรือไม่เอา หรือไม่ยึดมั่นถือมั่น หรือการอุเบกขาสัมโพชฌงค์นั้น ไม่ได้กระทำ หรือช่างทำได้ยากเสียเหลือเกิน จนท้อแท้, ก็เพราะมักจะเกิดจากการไม่รู้เท่า ไม่รู้ทันดังที่กล่าว แต่มักเป็นการ"รู้ตาม" คือ คือรู้ตามเวทนา หรือจิตที่เกิดเตลิดเปิดเปิงคือฟุ้งซ่านปรุงแต่งไปสักพักหนึ่งแล้วจนแก่กล้าเติบใหญ่ จึงมีสติ หรือมัวแต่อ้อยอิ่งเลื่อนไหลไปด้วย คือยังมีการปล่อยจิตให้เลื่อนไหลไปคิดนึกคิดเห็นปรุงแต่งหรือฟุ้งซ่านจนแก่กล้าด้วยกิเลส แล้วจึงระลึกรู้ตาม จึงต้องปฏิบัติให้ได้ดังที่ท่านกล่าวแสดงไว้ข้างต้น คือ "จงทำญาณหรือสติให้เห็นจิต ให้ได้เหมือนดั่งตาเห็นรูป" ให้เหมือนดั่งเมื่อคนมาถามท่านเรื่องแม่สูตรคูณ คือแทบจะรู้โดยพลัน, เมื่อรู้เท่ารู้ทันจิตแล้วและแลเห็นว่าเป็นอกุศล(เช่น ตัณหา) ก็ไม่เอา ไม่ยึดมั่นถือมั่น หรืออุเบกขาสัมโพชฌงค์เสีย, เมื่อ "ไม่เอา" หรือ "ละ" เสียแล้วอุปาทานจึงเกิดขึ้นไม่ได้เพราะไม่มีตัณหาให้เข้าไปยึดถือ, ส่วนการ"รู้ตาม"นั้นก็เป็นเรื่องธรรมดาเมื่อแรกปฏิบัติ แล้วต้องฝึกฝนอบรมอยู่เนืองๆดั่งการท่องแม่สูตรคูณแต่เยาว์วัย จนกลายเป็น "รู้เท่ารู้ทัน" จึงจักยังผลอันยิ่ง
ดังนั้นสติที่จะให้ผลยิ่ง จึงต้องเป็นสติดังในลักษณะดังที่กล่าวข้างต้น หรือดังที่จักอาราธนาธรรมคำสอนของ หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี จากหนังสือ เทสรังสีอนุสรณาลัย เรื่อง "สิ้นโลก เหลือธรรม (นัยที่สอง)" (หน้า ๙๓) ที่ได้กล่าวถึงเรื่อง สติ ที่ทำให้จิตสงบไว้เช่นกัน ดังนี้
"จิต คือผู้คิดผู้นึกในอารมณ์ต่างๆ ที่รวมเรียกว่ากิเลส อันเป็นเหตุทำให้จิตเศร้าหมองนั่นเอง จึงต้องฝึกหัดให้มีสติระวังควบคุมจิต ให้รู้เท่าทันจิต ซึ่งคำนี้เป็นโวหารของพระกรรมฐานโดยเฉพาะ คำว่า " รู้เท่า " คือ สติรู้จิตอยู่ ไม่ขาดไม่เกินยิ่งหย่อนกว่ากัน สติกับจิตเท่าๆกันนั่นเอง คำว่า " รู้ทัน " คือ สติทันจิตว่าคิดอะไร พอจิตคิดนึก สติก็รู้สึกทันที (webmaster-ดังแม่สูตรคูณ,การอ่านหนังสือ จึง)เรียกว่า " รู้ทัน " แต่ถ้าจิตคิดแล้วจึงรู้ นี้เรียกว่า " รู้ตาม " อย่างนี้เรียกว่าไม่ทันจิต ถ้าทันจิตแล้ว พอจิตคิดนึก สติจะรู้ทันที ไม่ก่อนไม่หลัง ความคิดของจิตก็จะสงบทันที..ฯ." |
สติ ควรระลึกรู้เท่าทันระดับใดในการปฏิบัติ ที่ยังผลอันยิ่ง