พิจารณาธรรมอย่างไร จึงก้าวหน้า

คลิกขวาเมน

         ปุถุชนทุกคน  ย่อมมีอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นด้วยกิเลส  หรือความยึดมั่นถือมั่นให้เป็นไปตามความพึงพอใจของตัวของตนทุกคน  บุคคลที่ไม่มีอุปาทานมีแต่ในพระอริยเจ้าเท่านั้น  และลดหลั่นกันไปในอริยบุคคล

         เมื่อรู้เมื่อเข้าใจดังนี้แล้ว ต่างต้องยอมรับและเข้าใจตามความเป็นจริงว่าปุถุชนยังคงมีอุปาทานดังกล่าวอยู่จริงๆ   อุปาทานนั้นท่านแบ่งออกเป็น ๔  และมีอยู่ ๒ ที่จัดเป็นขวากหนามอันแหลมคมสำคัญยิ่งต่อการพิจารณาธรรม(ธรรมวิจยะ)ให้เกิดปัญญา  โดยเฉพาะสัมมาญาณอันเป็นปัญญาในระดับปรมัตถ์ หรือความรู้ความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งตามความเป็นจริงหรือธรรมชาติของสิ่งนั้นๆ   อุปาทานที่เป็นขวากหนามอันสำคัญนี้คือ ทิฏฐุปาทาน  และ  สีลัพพตปาทาน

         ทิฏฐุปาทาน  หมายถึง ความยึดมั่นถือมั่นตามความคิด ความรู้ ความเข้าใจ ความเชื่อในทฤษฎีของตนเองอย่างยึดมั่นหรืองมงาย ตามที่ได้สั่งสม,อบรม,จดจำมาแต่อดีต   เมื่อยึดมั่นจึงอยากหรือพึงพอใจที่จะให้เป็นไปตามความคิด ความรู้ ความเข้าใจ ความเชื่อในทฤษฎีของตนเองอันแอบแฝงอยู่ในจิตโดยไม่รู้ตัว   หรือไม่อยากหรือไม่พึงพอใจ จึงต่อต้านกับสิ่งที่ตรงข้ามกับความคิด ความรู้ ความเข้าใจ ความเชื่อในทฤษฎีของตนเองอันแอบแฝงอยู่โดยไม่รู้ตัวเช่นกัน    แต่บางครั้งสิ่งที่รู้ที่เข้าใจเหล่านั้นยังคลาดเคลื่อน ไม่ตรงตามความเป็นจริงของธรรมหรือธรรมชาติ  จึงอาจเป็นความรู้ความเข้าใจที่เล่าเรียนแบบทางโลกๆยังไม่เป็นปรมัตถ์ หรือเพราะความเชื่อที่เป็นไปโดยศรัทธาแต่อย่างอธิโมกข์    ดังนั้นจึงเป็นเครื่องปิดกั้นไม่ให้เกิดปัญญาขึ้น    เมื่อพิจารณาในสิ่งใดก็จะโน้มเอียงไปยึดมั่นในแนวทางความคิด,ความเชื่อของตนเองโดยไม่รู้ตัวสักนิด   หรือสิ่งใดไม่ตรงกับความคิดความเชื่อของตนก็ไม่พอใจ หรือโน้มเอียงไม่สนใจ หรือต่อต้าน โดยไม่รับฟังไปพิจารณาตามความเป็นจริงและเป็นไปของสิ่งนั้นๆตามธรรม  สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นและเป็นไปโดยไม่รู้ตัว

          สีลัพพตปาทาน  ความยึดมั่นถือมั่นในข้อบังคับ(ศีล)และการปฏิบัติ(วัตร)ตามที่เชื่อๆสืบต่อกันมาแต่อย่างงมงาย ขาดเหตุผล   เป็นการยึดมั่นในข้อบังคับหรือการปฏิบัติที่ถ่ายทอดสืบต่อๆกันมา เป็นประเพณีหรือวัฒนธรรม  จึงเชื่อปฏิบัติตามๆกันมาโดยขาดปัญญา ขาดความรู้ความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง   ข้อบังคับและข้อปฏิบัติบางอย่างก็ไม่ถูกต้อง  หรือถูกต้องดีงามในการปฏิบัติในระดับหนึ่ง  หรือเพียงเพื่อเป็นเครื่องยึดเครื่องผูกให้เป็นคนดีมีศีลธรรม เพื่อความสงบสุขของสังคม    แต่ในทางการปฏิบัติเพื่อการดับไปแห่งทุกข์แล้วเป็นระดับปรมัตถ์ที่ต้องรู้ตามความเป็นจริงของธรรม    ดังนั้นการเชื่อด้วยอธิโมกข์ตามที่สืบต่อๆกันมาอย่างมงาย ขาดปัญญาในการพิจารณา  เมื่อสิ่งใดไม่ตรงกับข้อบังคับข้อปฏิบัติที่ตนเข้าใจหรือปฏิบัติอยู่ก็ต่อต้าน หรือไม่พึงพอใจ   จนปิดกั้นไม่สามารถทำให้เกิดปัญญาญาณในระดับสูงขึ้นไปได้  

          เมื่อรู้ตามความเป็นจริงอย่างแจ่มแจ้งว่าทั้ง ๒ สิ่งนี้ เป็นสภาวธรรมหรือธรรมชาติของปุถุชนแล้ว   จึงพึงเข้าใจว่ามีอยู่เป็นอยู่โดยไม่รู้ตัวเป็นธรรมดา   เป็นธรรมดานี้มีความหมายที่ยิ่งใหญ่ที่หมายถึง เป็นสภาวธรรมที่เที่ยงตรงและคงทนเช่นนี้     ดังนั้นเมื่อปฏิบัติธรรมวิจยะในเรื่องใด   พึงตั้งสติอย่างแน่วแน่ในการวางอุปาทานทั้ง ๒ นี้ลงเป็นการชั่วขณะ   ถึงแม้มีอยู่ แต่พึงวางด้วยกำลังของสติและปัญญาที่รู้เข้าใจได้ชั่วขณะอย่างแน่นอน   แล้วใช้สภาวะนี้ดำเนินไปในการพิจารณาอย่างเป็นกลาง  วางความยึดมั่นถือมั่นในความเชื่อ ความเข้าใจ ความยึดถือเดิมๆลงไปชั่วขณะในการพิจารณา   พิจารณาทั้งความรู้ความเชื่อเดิมหรือความรู้ใหม่ๆด้วยใจเป็นกลาง แต่อย่างหาเหตุหาผล    โดยเฉพาะทำความเข้าใจกับธรรม,สภาวธรรมหรือธรรมชาติอย่างใจเป็นกลาง  เพราะพระพุทธศานานั้นเป็นศาสตร์ของความเป็นจริงอย่างที่สุด  ละเอียดอ่อนครอบคลุมทั้งฝ่ายรูปธรรมหรือวัตถุธรรม และครอบคลุมถึงฝ่ายนามธรรมหรือจิตโดยเฉพาะเรื่องของความทุกข์   แก่นธรรมและการปฏิบัติที่ถูกต้องดีงามจึงล้วนดำเนินและเป็นไปอย่างมีเหตุมีผลตามหลักอิทัปปัจจยตาและปฏิจจสมุปบันธรรมทั้งสิ้น

          ยังมีธรรมอีกสิ่งหนึ่งที่เป็นเหตุปัจจัยให้รับธรรมหรือทำให้เกิดปัญญาไม่ได้  คือ วิปัสสนูปกิเลส ที่หมายถึง สิ่งที่ทำให้จิตหลงจึงรับธรรมหรือคุณธรรมได้ยากหรือไม่ได้   อันมีองค์ประกอบหลักที่สำคัญคือเกิดจากการติดเพลิน(นันทิ อันคือ ตัณหา)ในองค์ฌานต่างๆหรือสมาธิ  จึงเป็นเหตุปัจจัยให้อุปาทานกล้าแข็งขึ้นไปเป็นลำดับ  เกิดอุปาทานที่ยึดมั่นถือมั่นอย่างแรงกล้าจนไม่สามารถรับธรรมต่างๆ ได้    จึงไม่สามารถพิจารณาให้เกิดปัญญาที่ถูกต้องดีงามขึ้นได้

 

 

 

 กลับสารบัญ