พระประวัติตรัสเล่า(๔)

Reminiscences (4)

 

๔. คราวเป็นพระดรุณ

                พอสึกจากเณร เจ้าพี่ใหญ่ประทานเงิน ๔๐๐ บาทแก่เรา  เพื่อจะได้ซื้อเครื่องแต่งตัว  เครื่องใช้และเครื่องแต่งเรือน  เป็นของไม่เคยรับ อยู่ข้างตื่นเต้นมาก  ครั้งยังเด็กได้รับพระราชทานเงินแจกตามคราวนั้นๆ เช่น คราวจันทรคราธได้ ๔ บาท  ผู้ใหญ่เก็บเสีย  ปล่อยให้จ่ายซื้ออะไรๆ ได้ตามลำพัง  แต่เงินสลึงที่ได้รับพระราชทานในคราวทำบุญพระบรมอัฏฐิ  คราวนี้ถึง ๔๐๐ บาท  ยายก็ปล่อยไม่เก็บเอาเสียจ่ายอะไรต่างๆ เพลิดเพลิน  เรานึกว่าเราเป็นหนุ่มขึ้น   ควรแท้จริงจะจ่ายเอง  แต่โดยที่แท้  ในการจับจ่ายก็ยังเป็นเด็กอยู่นั่นเอง  ไม่รู้จักของจำเป็นหรือไม่  เมื่อจะซื้อ ไม่รู้จักราคาพอดี  ไม่รู้จักสิ้นยัง เอาความอยากได้เป็นเกณฑ์ เงิน ๔๐๐ บาท  นี้เป็นปัจจัยยังเราให้สุรุ่ยสุร่ายต่อไปข้างหน้าอีก

 

เจ้าพระยาภานุวงศ์มหาโกษาธิบดี
(ท้วม บุนนาค)

สมเด็จเจ้าฟ้า
กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช

 

                ครั้งยังอยู่ในพระบรมหาราชวัง ล้นเกล้าฯ โปรดให้พวกเราหัดขี่ม้าบ้าง บางคราวออกมาอยู่นอก  ใช้ม้าเป็นพาหนะไปไหนๆ เป็นต้นว่าเข้าวัง ไม่ช้าเท่าไรเราก็ขี่ชำนาญ  พอขึ้นหลังม้าเป็นวิ่งหรือห้อเที่ยวเสียสนุก  รู้สึกเป็นอิสระด้วยตัวเองเหมือนพระเป็นนิสสัยมุตตกะ  ถนนบางรัก ถนนสีลม เป็นแดนเที่ยวของเรา  เพราะเป็นทางไกลที่หาได้ในครั้งนั้น  จะได้ห้อม้า  ทั้งเป็นทางไปห้างเพื่อซื้อของด้วย  ต่อมาเกิดใช้รถกันขึ้น  เป็นรถโถงสองล้อชนิดที่เรียกว่า  ดอกก๊าดบ้าง  เป็นรถประทุนสองล้อก็มี  สี่ล้อมก็มี  ผู้นั่งขับเอง  ใช้รถมีสารถีขับเฉพาะเวลาออกงาน  เราก็พลอยใช้รถกับเขาด้วย  ขับเองเหมือนกัน  สนุกสู้ขี่ม้าไม่ได้  เราตกม้าตั้ง ๙ ครั้ง หรือ ๑๐ ครั้ง  ไม่เคยมีบาดเจ็บหรือฟกช้ำสักคราวหนึ่ง  ม้าดำที่เราขี่มันเชื่อง  พอเราตกมันก็หยุดรอเรา  พูดถึงม้าดำตัวนี้  เราอดสงสารมันไม่ได้คนเลี้ยงดุร้าย  คราวหนึ่งเอาบังเหียนฟาดมัน  ถูกตาข้างหนึ่งเสีย  เราตกรถครั้งเดียวมีบาดเจ็บเดินไม่ได้หลายวัน  เกือบพาเสด็จกรมพระเทวะวงศ์วโรปการผู้เสด็จมาด้วยกันตกด้วย  เที่ยวนี้เราใช้ม้าแซมเทียม  ม้าตัวนี้ขนาดสูงส่ง แต่พยศใช้ขี่ไม่ได้  จึงใช้เทียมรถ  ตั้งแต่มันพาเราตกรถแล้ว  อย่างไรไม่รู้ พอหายเจ็บ ใช้อันอีก เห็นมันกลายเป็นสัตว์เชื่องไป  ภายหลังใช้ขี่ได้  ใช้มันมาจนถึงเวลาเราบวชพระ

                ตั้งแต่เกิดธรรมเนียมเลี้ยงโต๊ะอย่างฝรั่ง  ธรรมเนียมดื่มมัชชะ  ก็พลอยเกิดตามขึ้นด้วย  แต่งในครั้งนั้นใช้มัชชะเพียงชนิดเป็นเมรัย  ยังไม่ถึงชนิดสุรา  เราตื่นธรรมเนียมฝรั่ง  ปรารถนาจะได้ชื่อในทางดื่มมัชชะทน  พยายามหัดเท่าไรไม่สำเร็จ รสชาติก็ไม่อร่อย  ดื่มเข้าไปมากก็เมาไม่สบาย  เพราะเหตุเช่นนี้เราจึงรอดจากติดมัชชะมาได้  คนติดมัชชะไม่เป็นอิสสระกับตัว  ไม่มีจะกิน  เดือดร้อนไม่น้อย  เมาแล้วปราศจากสติคุมใจ  ทำอะไรมันเกินพอดี  ที่สุดหน้าและกิริยาก็ผิดปกติกินเล็กน้อยหรือบางครั้ง  ท่านไม่ว่าก็จริง แต่ถ้าเมาแล้วทำเกินพอดี  ท่านไม่อภัยถ้าติดจนอาการปรากฏ ท่านไม่เลี้ยง ศิษย์ของเราผู้แก่วัดสึกออกไป  ยังไม่เคยรู้รสจงประหยัดให้มาก  เพราะยากที่จะกำหนดความพอดี

                ธรรมเนียมปล่อยให้เล่นการพะนัน  ในเทศกาลตรุษสงกรานต์  ทำให้เราเคยมากับการพะนัน  โตขึ้นก็ทวีตามส่วนแห่งทุนที่ใช้เล่น  เราเคยเล่นมากอยู่ก็ไพ่ต่างชนิด น่าประหลาดความเพลิน เล่นหามรุ่งหามค่ำก็ได้  ไม่เป็นอันกินอันนอน  ถ้าเพลินมนกิจการหรือในกุศลกรรมเหมือนเช่นนี้ก็จะดี อารมณ์ก็จอดอยู่ที่การเล่น  อาจเรียกว่า อมิจฉาสมาธิเกือบได้กระมัง  อะไรเป็นเหตุเพลินถึงอย่างนั้น?  ความได้ความเสียนี้เอวเล่นเสมอตัว  คือไม่ได้เสียแทบกล่าวได้ว่า  ไม่มีเลย เล่นได้  ก็มุ่งอยากให้ได้มากขึ้น เล่นเสีย ยังน้อย ต้องการแก้ตัวเอากำไร เสียมากเข้า เห็นหากำไรไม่ได้แล้ว  ต้องการพอเอาทุนคืน  เช่นนี้แลจึงเพลินอยู่ได้  เล่นอย่างเราเสียทรัพย์ไม่ถึงฉิบหาย  แต่เสียเวลาอันมีค่ามิได้ของคนหนุ่ม  โปหรือหวยไม่เคยเล่น  เพราะเป็นการเล่นของคนชั้นเลว ศิษย์ของเราผู้แก่วัด  สึกออกไป ยังไม่เคยเล่น  อย่าริเล่นเลย  ตกหล่มการพะนันแล้วถอนตัวออกยาก  เพราะเหตุความเพลินนั้นเอง  เราเคยพบคนเล่นการพะนัน  ถึงฉิบหายย่อยยับ  แม้อย่างนั้นยังเว้นไม่ได้  คนมีทรัพย์เล่นไม่ถึงฉิบหาย  แต่เสียเวลา  ฝ่ายเราได้โอกาสถอนตัวออกได้สะดวก  เราตื่นเอาอย่างฝรั่งหนักเข้า  ฝรั่งครั้งนั้นที่เรารู้จัก  เขาไม่ฝักใฝ่ในการพะนัน  เล่นจะไม่เหมือนฝรั่ง  จึงจืดจางเลิกไปเอง ภายหลังเมื่อตั้งหลักแล้วจึงรู้ว่า  การพะนันเป็นหล่มอบายมุขที่ฝรั่งตกเหมือนกัน ตกตายก็มี  กล่าวคือ เล่นจนฉิบหายหมดตัวแล้ว  เสียใจฆ่าตัวตาย  ไพ่เป็นอบายมุขซึ่งขึ้นชื่อของฝรั่งอย่างหนึ่งเหมือนกัน

                เราไม่มีนิสสัยในทางคบสตรี  แม้ถูกชวน ก็ยังมีชาตาดี  เผอิญให้คลาดแล้วรอดตัวจากอบายมุขอย่างนี้  แต่เราได้เห็นผู้อื่นมีโรคติดตัวมาเพราะเหตุนี้  ทอดชีวิตสังขารและได้ความลำบาก  แม้แต่ตามประเพณีสตรีถวายตัวเป็นหม่อม  แต่เรายังไม่มีความรักดำกฤษณาในสตรีเลย  สุดแต่จะว่า  เป็นผู้กระดากผู้หญิง  หรือเป็นชะนิดที่เขาเรียกว่าพรหมมาเกิด หรือเป็นผู้เกิดมาเพื่อจะบวชอย่างไรก็ได้  เราเห็นอยู่เป็นชายโสดสะดวกสบายกว่ามีคู่  ศิษย์ของเราผู้แก่วัดสึกออกไป  ไม่เคยในทางนี้  จงประหยัดให้มากจากหญิงเสเพล  แม้จะหาคู่จงอย่าด่วนจงค่อยเลือกให้ได้คนดี  ถูกนักเลงเข้า อาจพาฉิบหายตั้งตัวไม่ติด

                ครั้งนั้นยิงนกตกปลาเป็นการเล่นที่นิยมของคนหนุ่ม  เช่นเราผู้ชอบเอาอย่างฝรั่ง  แต่เราเป็นผู้ฝึกไม่ขึ้น  หรือที่เขาเรียกว่าทำบาปไม่ขึ้น  เรายิงนกไม่ฉมังพอ ที่ถูกแล้วตายทันทีทุกคราวไป  บางคราวนกพิราบอันถูกยิงตกลงมา  แต่ยังหาตายไม่ เราเห็นตามันปริบๆ ออกสงสารดังจะแปลความในใจของมันว่า  “ไม่ได้ทำอะไรให้สักหน่อยยิงเอาได้”  ตั้งแต่นั้นมาต้องเลิก  แต่เรายังชอบการยิงปืนไม่หาย ต่อมาใช้หัดยิงเป่าเล่น เราตกเบ็ดไม่เคยได้ปลาจนตัวเดียว จะว่าวัดหรือกระตุกไม่เป็นยังไม่ได้  ปลายังไม่เคยมากินเหยื่อที่เบ็ดของเราเลย

                การอันทำให้เรายับเยินมากกว่าอย่างอื่น  คือความสุรุ่ยสุร่าย  ไม่รู้จักประหยัดทรัพย์ มีเงิน ๔๐๐ บาท  นั้นเป็นมูล เราไม่ได้เก็บเงินเองที่จะได้รู้สิ้นยัง  แลยังไม่รู้จักหาเงินที่จะได้นึกเสียดาย  สำคัญว่ายายมั่งมีจึงซื้อของไม่ประหยัด จะตัดเสื้อตามร้านเจ๊ก  ก็เป็นของที่เรียกว่าไม่ได้แก่ตัว  ผ้าก็เป็นของมีดื่นสรวมอายเขาตัดที่ห้างฝรั่งเสียเงินมากกว่า  จึงเป็นการที่ปรารถนาก่อนโดยความเต็มใจ เครื่องใช้เครื่องแต่งเรือนตามบ้านแขก  มีศรีสู้ของห้างไม่ได้  ทั้งไม่พอใจเข้าร้านแขกเห็นเสียศรีทั้งเขาเรียกเงินสดด้วย  ซื้อของห้างไปเองก็ได้  เขาต้อนรับขับสู้ เขาไว้หน้าไม่ต้องซื้อเงินสด  เป็นแต่เขาจดบัญชีและให้ลงชื่อไว้ก็พอ  ต่อเมื่อมากเข้า จึงส่งใบเสร็จมาเก็บเงินเป็นคราวๆ ของที่ขายนั้นเป็นของประณีต  ออกหน้าได้  ที่มีของร้านแขกเหมือน  ก็ยังมีศรีว่าเป็นของห้างด้วยการณะดังนี้  ห้างจึงได้เป็นที่โคจรของเรา เห็นอะไรเข้าชั่งอยากได้ไปทั้งนั้น ซื้อเชื่อเหมือนได้เปล่า จะต่อราคาก็เห็นเสียภูมิฐาน ดูเป็นคนปอนไป  ถึงคราวเขาตั้งใบเสร็จมาเก็บเงิน  ใบเสร็จใบหนึ่งมีจำนวนเงินนับร้อยๆ  ยังเป็นบุญที่ไม่ถึงเป็นพันๆ  นั่นแลจึงรู้สึกความสิ้นหรอคราวหนึ่ง  แต่ไม่อะไรนัก  ขอเงินยายมาใช้เสียก็แล้วกัน  ถ้าห้างนั้นๆ ส่งใบเสร็จมาเก็บเงินระยะห่างๆ กันก็ไม่พอเป็นอะไรแต่ห้างเจ้ากรรม  พอรายหนึ่งได้เงินไปแล้วไม่กี่วัน  รายที่สอง รายที่สาม ก็ยื่นใบเสร็จเข้ามาขอเก็บเงิน  ยายรักเรามาก  ขอคราวใดก็ได้คราวนั้น  แม้แต่จะปริปากบ่นก็ไม่มี  ฝ่ายเราก็รักยายมากเหมือนกัน  เห็นเช่นนั้นยิ่งเกรงใจยาย  ไม่อยากให้ท่านนึกรำคาญใจ  จึงผัดเขาไว้พอให้ระยะจึงใช้  นี่แลเป็นความเดือดร้อนของเรา แต่ไม่ถึงเป็นเหตุประหยัดซื้อของ  ความลำบากใจนั้นจึงยังไม่วาย  คราวหนึ่ง ห้างหนึ่งทนผัดไม่ไหวถึงยื่นฟ้องศาลคดีต่างประเทศขอให้ใช้หนี้  แต่เจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิบดี  บอกมาให้รู้ตัวและขอให้ใช้เสีย  เราได้ตาม โจทก์เขาถอนฟ้อน ครั้งนั้นอยู่ข้างตกใจ  กลัวเสียชื่อเพราะถูกขึ้นศาลเป็นที่ไม่มีเงินจะใช้หนี้  แต่อย่างนั้นยังไม่เข็ดเป็นแต่โกรธและสาปห้างนั้น  ไม่ซื้อของเขาอีกต่อไป เป็นหนี้เขา ได้ความเดือดร้อนเช่นนี้  เรายังมีทรัพย์สมบัติของตนเอง มีญาติสนิทผู้มีกำลังทรัพย์อาจช่วยใช้หนี้ให้เรา หนี้ของเรา ไม่ใช่สินล้นพ้นตัว  เป็นแต่เราไม่ปรารถนาจะรบกวนยายให้ได้รับความรำคาญเพราะถูกขอเงินบ่อยๆ เท่านั้น  คนไร้ทรัพย์และหาคนสนับสนุนมิได้ เป็นหนี้เขาถูกเจ้าหนี้ทวง ไม่มีใช้เขาจะเดือดร้อนสักปานไร  ถูกเข้าฟ้องต้องขึ้นศาล  ถูกเร่งถูกเอาทรัพย์  ขายทอดตลาด หรือถูกสั่งให้ล้มละลาย  จะได้ความอับอายขายหน้าเขาสักปานไร ความเป็นหนี้เป็นดุจหล่มอันลึก  ตกลงแล้วถอนตัวได้ยากนัก  ขอพวกศิษย์ของเราจงระวังให้มาก

                เรายังพอเอาตัวรอด ไม่ปุยี่ปุยำ ในเวลาลำพอง เพราะไม่กล้าทำการที่ยังไม่มี ผู้ชั้นเดียวกันทำ หรือมีผู้ทำแต่ยังไว้ใจไม่ได้เช่นเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก

                สึกจากเณรแล้ว  เรายังได้เรียนภาษาอังกฤษต่อมากับครูแปตเตอร์สัน  แต่เรียนส่วนตัว   ณ ที่ประทับสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธุ์วงศ์วรเดช พร้อมกับพระองค์ท่านและกรมพระเทวะวงศ์วโรปการ  แต่กำลังลำพอง  ทนเรียนอยู่ไม่ได้ต้องเลิก  กำลังนี้เราได้เคยหัดในการประโคมอยู่บ้าง  แต่เป็นผู้ไม่มีอุปนิสสัยในทางนี้  เรียนไม่เป็น ครั้งยังอยู่ในโรงเรียนฝรั่ง  หัดดีดหีบเพลง ดีดสองมือไม่ได้  ดูบทเพลงที่เรียกว่าโน้ตไม่เข้าใจ  หัดตีระนาด  แก้เชือกผู้ไม้ตีเสีย ตีสองมือไม่ได้อีก  แต่จำเพลงบางอย่างได้

                ในเวลานี้ เราไม่มีราชการประจำตัว ล้นเกล้าฯ ไม่ได้ทรงใช้  เหมือนเมื่อเป็นเด็ก  แต่ได้เข้าเฝ้าเวลาค่ำประจำวัน  และในการพระราชพิธี  และการพระราชกุศลนั้นๆ เสมอมาไม่ห่าง

                เป็นความอภัพของเรา  ผู้ไม่เคยได้เป็นทหารสมแก่ชาติขัตติยะกับเขาบ้าง  เมื่อครั้งยังเยาว์  พวกเจ้าพี่ของเราที่จำได้ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช  กรมพระเทวะวงศ์วโรปการ  ท่านเคยเป็นนายทหารเล็กๆ  แรกจัดขึ้นในพระบรมหาราชวังชั้นใน  บ่างทีอนุโลมมหาดเล็กไล่กาในรัชชกาลที่ ๓  กระมัง  ครั้งท่านทรงพระเจริญเสด็จออกนอกวังไปแล้ว  ทหารชุดนั้นก็เลิกเสียด้วย  จัดทหารมหาดเล็กหนุ่มๆ ขึ้นข้างหน้า  เรายังเด็กอยู่ในปูนนี้  ก็ไม่มีท่าทางจะเข้า  ได้เคยเข้าแถวหัดเป็นทหารสมัครอยู่พักหนึ่งที่วังสราญรมย์ ในคราวที่สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธ์วงศ์วรเดชเสด็จประทับไม่ทันถึงไหนก็เลิกเสีย  หากว่าเราได้เคยเป็นทหารมาบ้าง  จักรู้สึกมีหน้ามีตาขึ้นกว่านี้

                นึกถึงยายในเวลานั้น  เห็นหลานกำลังลำพอง ยังไม่เป็นหลักฐาน  คงวิตกสักปานไร แต่ไม่รู้จะห้ามปรามอย่า      คราวเป็นพระดรุณ

 

          พอสึกจากเณร เจ้าพี่ใหญ่ประทานเงิน ๔๐๐ บาทแก่เรา  เพื่อจะได้ซื้อเครื่องแต่งตัว  เครื่องใช้และเครื่องแต่งเรือน  เป็นของไม่เคยรับ อยู่ข้างตื่นเต้นมาก  ครั้งยังเด็กได้รับพระราชทานเงินแจกตามคราวนั้นๆ เช่น คราวจันทรคราธได้ ๔ บาท  ผู้ใหญ่เก็บเสีย  ปล่อยให้จ่ายซื้ออะไรๆ ได้ตามลำพัง  แต่เงินสลึงที่ได้รับพระราชทานในคราวทำบุญพระบรมอัฏฐิ  คราวนี้ถึง ๔๐๐ บาท  ยายก็ปล่อยไม่เก็บเอาเสียจ่ายอะไรต่างๆ เพลิดเพลิน  เรานึกว่าเราเป็นหนุ่มขึ้น   ควรแท้จริงจะจ่ายเอง  แต่โดยที่แท้  ในการจับจ่ายก็ยังเป็นเด็กอยู่นั่นเอง  ไม่รู้จักของจำเป็นหรือไม่  เมื่อจะซื้อ ไม่รู้จักราคาพอดี  ไม่รู้จักสิ้นยัง เอาความอยากได้เป็นเกณฑ์ เงิน ๔๐๐ บาท  นี้เป็นปัจจัยยังเราให้สุรุ่ยสุร่ายต่อไปข้างหน้าอีก 

          ครั้งยังอยู่ในพระบรมหาราชวัง ล้นเกล้าฯ โปรดให้พวกเราหัดขี่ม้าบ้าง บางคราวออกมาอยู่นอก  ใช้ม้าเป็นพาหนะไปไหนๆ เป็นต้นว่าเข้าวัง ไม่ช้าเท่าไรเราก็ขี่ชำนาญ  พอขึ้นหลังม้าเป็นวิ่งหรือห้อเที่ยวเสียสนุก  รู้สึกเป็นอิสระด้วยตัวเองเหมือนพระเป็นนิสสัยมุตตกะ  ถนนบางรัก ถนนสีลม เป็นแดนเที่ยวของเรา  เพราะเป็นทางไกลที่หาได้ในครั้งนั้น  จะได้ห้อม้า  ทั้งเป็นทางไปห้างเพื่อซื้อของด้วย  ต่อมาเกิดใช้รถกันขึ้น  เป็นรถโถงสองล้อชนิดที่เรียกว่า  ดอกก๊าดบ้าง  เป็นรถประทุนสองล้อก็มี  สี่ล้อมก็มี  ผู้นั่งขับเอง  ใช้รถมีสารถีขับเฉพาะเวลาออกงาน  เราก็พลอยใช้รถกับเขาด้วย  ขับเองเหมือนกัน  สนุกสู้ขี่ม้าไม่ได้  เราตกม้าตั้ง ๙ ครั้ง หรือ ๑๐ ครั้ง  ไม่เคยมีบาดเจ็บหรือฟกช้ำสักคราวหนึ่ง  ม้าดำที่เราขี่มันเชื่อง  พอเราตกมันก็หยุดรอเรา  พูดถึงม้าดำตัวนี้  เราอดสงสารมันไม่ได้คนเลี้ยงดุร้าย  คราวหนึ่งเอาบังเหียนฟาดมัน  ถูกตาข้างหนึ่งเสีย  เราตกรถครั้งเดียวมีบาดเจ็บเดินไม่ได้หลายวัน  เกือบพาเสด็จกรมพระเทวะวงศ์วโรปการผู้เสด็จมาด้วยกันตกด้วย  เที่ยวนี้เราใช้ม้าแซมเทียม  ม้าตัวนี้ขนาดสูงส่ง แต่พยศใช้ขี่ไม่ได้  จึงใช้เทียมรถ  ตั้งแต่มันพาเราตกรถแล้ว  อย่างไรไม่รู้ พอหายเจ็บ ใช้อันอีก เห็นมันกลายเป็นสัตว์เชื่องไป  ภายหลังใช้ขี่ได้  ใช้มันมาจนถึงเวลาเราบวชพระ

          ตั้งแต่เกิดธรรมเนียมเลี้ยงโต๊ะอย่างฝรั่ง  ธรรมเนียมดื่มมัชชะ  ก็พลอยเกิดตามขึ้นด้วย  แต่งในครั้งนั้นใช้มัชชะเพียงชนิดเป็นเมรัย  ยังไม่ถึงชนิดสุรา  เราตื่นธรรมเนียมฝรั่ง  ปรารถนาจะได้ชื่อในทางดื่มมัชชะทน  พยายามหัดเท่าไรไม่สำเร็จ รสชาติก็ไม่อร่อย  ดื่มเข้าไปมากก็เมาไม่สบาย  เพราะเหตุเช่นนี้เราจึงรอดจากติดมัชชะมาได้  คนติดมัชชะไม่เป็นอิสสระกับตัว  ไม่มีจะกิน  เดือดร้อนไม่น้อย  เมาแล้วปราศจากสติคุมใจ  ทำอะไรมันเกินพอดี  ที่สุดหน้าและกิริยาก็ผิดปกติกินเล็กน้อยหรือบางครั้ง  ท่านไม่ว่าก็จริง แต่ถ้าเมาแล้วทำเกินพอดี  ท่านไม่อภัยถ้าติดจนอาการปรากฏ ท่านไม่เลี้ยง ศิษย์ของเราผู้แก่วัดสึกออกไป  ยังไม่เคยรู้รสจงประหยัดให้มาก  เพราะยากที่จะกำหนดความพอดี

          ธรรมเนียมปล่อยให้เล่นการพะนัน  ในเทศกาลตรุษสงกรานต์  ทำให้เราเคยมากับการพะนัน  โตขึ้นก็ทวีตามส่วนแห่งทุนที่ใช้เล่น  เราเคยเล่นมากอยู่ก็ไพ่ต่างชนิด น่าประหลาดความเพลิน เล่นหามรุ่งหามค่ำก็ได้  ไม่เป็นอันกินอันนอน  ถ้าเพลินมนกิจการหรือในกุศลกรรมเหมือนเช่นนี้ก็จะดี อารมณ์ก็จอดอยู่ที่การเล่น  อาจเรียกว่า อมิจฉาสมาธิเกือบได้กระมัง  อะไรเป็นเหตุเพลินถึงอย่างนั้น?  ความได้ความเสียนี้เอวเล่นเสมอตัว  คือไม่ได้เสียแทบกล่าวได้ว่า  ไม่มีเลย เล่นได้  ก็มุ่งอยากให้ได้มากขึ้น เล่นเสีย ยังน้อย ต้องการแก้ตัวเอากำไร เสียมากเข้า เห็นหากำไรไม่ได้แล้ว  ต้องการพอเอาทุนคืน  เช่นนี้แลจึงเพลินอยู่ได้  เล่นอย่างเราเสียทรัพย์ไม่ถึงฉิบหาย  แต่เสียเวลาอันมีค่ามิได้ของคนหนุ่ม  โปหรือหวยไม่เคยเล่น  เพราะเป็นการเล่นของคนชั้นเลว ศิษย์ของเราผู้แก่วัด  สึกออกไป ยังไม่เคยเล่น  อย่าริเล่นเลย  ตกหล่มการพะนันแล้วถอนตัวออกยาก  เพราะเหตุความเพลินนั้นเอง  เราเคยพบคนเล่นการพะนัน  ถึงฉิบหายย่อยยับ  แม้อย่างนั้นยังเว้นไม่ได้  คนมีทรัพย์เล่นไม่ถึงฉิบหาย  แต่เสียเวลา  ฝ่ายเราได้โอกาสถอนตัวออกได้สะดวก  เราตื่นเอาอย่างฝรั่งหนักเข้า  ฝรั่งครั้งนั้นที่เรารู้จัก  เขาไม่ฝักใฝ่ในการพะนัน  เล่นจะไม่เหมือนฝรั่ง  จึงจืดจางเลิกไปเอง ภายหลังเมื่อตั้งหลักแล้วจึงรู้ว่า  การพะนันเป็นหล่มอบายมุขที่ฝรั่งตกเหมือนกัน ตกตายก็มี  กล่าวคือ เล่นจนฉิบหายหมดตัวแล้ว  เสียใจฆ่าตัวตาย  ไพ่เป็นอบายมุขซึ่งขึ้นชื่อของฝรั่งอย่างหนึ่งเหมือนกัน

          เราไม่มีนิสสัยในทางคบสตรี  แม้ถูกชวน ก็ยังมีชาตาดี  เผอิญให้คลาดแล้วรอดตัวจากอบายมุขอย่างนี้  แต่เราได้เห็นผู้อื่นมีโรคติดตัวมาเพราะเหตุนี้  ทอดชีวิตสังขารและได้ความลำบาก  แม้แต่ตามประเพณีสตรีถวายตัวเป็นหม่อม  แต่เรายังไม่มีความรักดำกฤษณาในสตรีเลย  สุดแต่จะว่า  เป็นผู้กระดากผู้หญิง  หรือเป็นชะนิดที่เขาเรียกว่าพรหมมาเกิด หรือเป็นผู้เกิดมาเพื่อจะบวชอย่างไรก็ได้  เราเห็นอยู่เป็นชายโสดสะดวกสบายกว่ามีคู่  ศิษย์ของเราผู้แก่วัดสึกออกไป  ไม่เคยในทางนี้  จงประหยัดให้มากจากหญิงเสเพล  แม้จะหาคู่จงอย่าด่วนจงค่อยเลือกให้ได้คนดี  ถูกนักเลงเข้า อาจพาฉิบหายตั้งตัวไม่ติด

          ครั้งนั้นยิงนกตกปลาเป็นการเล่นที่นิยมของคนหนุ่ม  เช่นเราผู้ชอบเอาอย่างฝรั่ง  แต่เราเป็นผู้ฝึกไม่ขึ้น  หรือที่เขาเรียกว่าทำบาปไม่ขึ้น  เรายิงนกไม่ฉมังพอ ที่ถูกแล้วตายทันทีทุกคราวไป  บางคราวนกพิราบอันถูกยิงตกลงมา  แต่ยังหาตายไม่ เราเห็นตามันปริบๆ ออกสงสารดังจะแปลความในใจของมันว่า  “ไม่ได้ทำอะไรให้สักหน่อยยิงเอาได้”  ตั้งแต่นั้นมาต้องเลิก  แต่เรายังชอบการยิงปืนไม่หาย ต่อมาใช้หัดยิงเป่าเล่น เราตกเบ็ดไม่เคยได้ปลาจนตัวเดียว จะว่าวัดหรือกระตุกไม่เป็นยังไม่ได้  ปลายังไม่เคยมากินเหยื่อที่เบ็ดของเราเลย

          การอันทำให้เรายับเยินมากกว่าอย่างอื่น  คือความสุรุ่ยสุร่าย  ไม่รู้จักประหยัดทรัพย์ มีเงิน ๔๐๐ บาท  นั้นเป็นมูล เราไม่ได้เก็บเงินเองที่จะได้รู้สิ้นยัง  แลยังไม่รู้จักหาเงินที่จะได้นึกเสียดาย  สำคัญว่ายายมั่งมีจึงซื้อของไม่ประหยัด จะตัดเสื้อตามร้านเจ๊ก  ก็เป็นของที่เรียกว่าไม่ได้แก่ตัว  ผ้าก็เป็นของมีดื่นสรวมอายเขาตัดที่ห้างฝรั่งเสียเงิน

มากกว่า  จึงเป็นการที่ปรารถนาก่อนโดยความเต็มใจ เครื่องใช้เครื่องแต่งเรือนตามบ้านแขก  มีศรีสู้ของห้างไม่ได้  ทั้งไม่พอใจเข้าร้านแขกเห็นเสียศรีทั้งเขาเรียกเงินสดด้วย  ซื้อของห้างไปเองก็ได้  เขาต้อนรับขับสู้ เขาไว้หน้าไม่ต้องซื้อเงินสด  เป็นแต่เขาจดบัญชีและให้ลงชื่อไว้ก็พอ  ต่อเมื่อมากเข้า จึงส่งใบเสร็จมาเก็บเงินเป็นคราวๆ ของที่ขายนั้นเป็นของประณีต  ออกหน้าได้  ที่มีของร้านแขกเหมือน  ก็ยังมีศรีว่าเป็นของห้างด้วยการณะดังนี้  ห้างจึงได้เป็นที่โคจรของเรา เห็นอะไรเข้าชั่งอยากได้ไปทั้งนั้น ซื้อเชื่อเหมือนได้เปล่า จะต่อราคาก็เห็นเสียภูมิฐาน ดูเป็นคนปอนไป  ถึงคราวเขาตั้งใบเสร็จมาเก็บเงิน  ใบเสร็จใบหนึ่งมีจำนวนเงินนับร้อยๆ  ยังเป็นบุญที่ไม่ถึงเป็นพันๆ  นั่นแลจึงรู้สึกความสิ้นหรอคราวหนึ่ง  แต่ไม่อะไรนัก  ขอเงินยายมาใช้เสียก็แล้วกัน  ถ้าห้างนั้นๆ ส่งใบเสร็จมาเก็บเงินระยะห่างๆ กันก็ไม่พอเป็นอะไรแต่ห้างเจ้ากรรม  พอรายหนึ่งได้เงินไปแล้วไม่กี่วัน  รายที่สอง รายที่สาม ก็ยื่นใบเสร็จเข้ามาขอเก็บเงิน  ยายรักเรามาก  ขอคราวใดก็ได้คราวนั้น  แม้แต่จะปริปากบ่นก็ไม่มี  ฝ่ายเราก็รักยายมากเหมือนกัน  เห็นเช่นนั้นยิ่งเกรงใจยาย  ไม่อยากให้ท่านนึกรำคาญใจ  จึงผัดเขาไว้พอให้ระยะจึงใช้  นี่แลเป็นความเดือดร้อนของเรา แต่ไม่ถึงเป็นเหตุประหยัดซื้อของ  ความลำบากใจนั้นจึงยังไม่วาย  คราวหนึ่ง ห้างหนึ่งทนผัดไม่ไหวถึงยื่นฟ้องศาลคดีต่างประเทศขอให้ใช้หนี้  แต่เจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิบดี  บอกมาให้รู้ตัวและขอให้ใช้เสีย  เราได้ตาม โจทก์เขาถอนฟ้อน ครั้งนั้นอยู่ข้างตกใจ  กลัวเสียชื่อเพราะถูกขึ้นศาลเป็นที่ไม่มีเงินจะใช้หนี้  แต่อย่างนั้นยังไม่เข็ดเป็นแต่โกรธและสาปห้างนั้น  ไม่ซื้อของเขาอีกต่อไป เป็นหนี้เขา ได้ความเดือดร้อนเช่นนี้  เรายังมีทรัพย์สมบัติของตนเอง มีญาติสนิทผู้มีกำลังทรัพย์อาจช่วยใช้หนี้ให้เรา หนี้ของเรา ไม่ใช่สินล้นพ้นตัว  เป็นแต่เราไม่ปรารถนาจะรบกวนยายให้ได้รับความรำคาญเพราะถูกขอเงินบ่อยๆ เท่านั้น  คนไร้ทรัพย์และหาคนสนับสนุนมิได้ เป็นหนี้เขาถูกเจ้าหนี้ทวง ไม่มีใช้เขาจะเดือดร้อนสักปานไร  ถูกเข้าฟ้องต้องขึ้นศาล  ถูกเร่งถูกเอาทรัพย์  ขายทอดตลาด หรือถูกสั่งให้ล้มละลาย  จะได้ความอับอายขายหน้าเขาสักปานไร ความเป็นหนี้เป็นดุจหล่มอันลึก  ตกลงแล้วถอนตัวได้ยากนัก  ขอพวกศิษย์ของเราจงระวังให้มาก

          เรายังพอเอาตัวรอด ไม่ปุยี่ปุยำ ในเวลาลำพอง เพราะไม่กล้าทำการที่ยังไม่มี ผู้ชั้นเดียวกันทำ หรือมีผู้ทำแต่ยังไว้ใจไม่ได้เช่นเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก

          สึกจากเณรแล้ว  เรายังได้เรียนภาษาอังกฤษต่อมากับครูแปตเตอร์สัน  แต่เรียนส่วนตัว   ณ ที่ประทับสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธุ์วงศ์วรเดช พร้อมกับพระองค์ท่านและกรมพระเทวะวงศ์วโรปการ  แต่กำลังลำพอง  ทนเรียนอยู่ไม่ได้ต้องเลิก  กำลังนี้เราได้เคยหัดในการประโคมอยู่บ้าง  แต่เป็นผู้ไม่มีอุปนิสสัยในทางนี้  เรียนไม่เป็น ครั้งยังอยู่ในโรงเรียนฝรั่ง  หัดดีดหีบเพลง ดีดสองมือไม่ได้  ดูบทเพลงที่เรียกว่าโน้ตไม่เข้าใจ  หัดตีระนาด  แก้เชือกผู้ไม้ตีเสีย ตีสองมือไม่ได้อีก  แต่จำเพลงบางอย่างได้

          ในเวลานี้ เราไม่มีราชการประจำตัว ล้นเกล้าฯ ไม่ได้ทรงใช้  เหมือนเมื่อเป็นเด็ก  แต่ได้เข้าเฝ้าเวลาค่ำประจำวัน  และในการพระราชพิธี  และการพระราชกุศลนั้นๆ เสมอมาไม่ห่าง

          เป็นความอภัพของเรา  ผู้ไม่เคยได้เป็นทหารสมแก่ชาติขัตติยะกับเขาบ้าง  เมื่อครั้งยังเยาว์  พวกเจ้าพี่ของเราที่จำได้ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช  กรมพระเทวะวงศ์วโรปการ  ท่านเคยเป็นนายทหารเล็กๆ  แรกจัดขึ้นในพระบรมหาราชวังชั้นใน  บ่างทีอนุโลมมหาดเล็กไล่กาในรัชชกาลที่ ๓  กระมัง  ครั้งท่านทรงพระเจริญเสด็จออกนอกวังไปแล้ว  ทหารชุดนั้นก็เลิกเสียด้วย  จัดทหารมหาดเล็กหนุ่มๆ ขึ้นข้างหน้า  เรายังเด็กอยู่ในปูนนี้  ก็ไม่มีท่าทางจะเข้า  ได้เคยเข้าแถวหัดเป็นทหารสมัครอยู่พักหนึ่งที่วังสราญรมย์ ในคราวที่สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธ์วงศ์วรเดชเสด็จประทับไม่ทันถึงไหนก็เลิกเสีย  หากว่าเราได้เคยเป็นทหารมาบ้าง  จักรู้สึกมีหน้ามีตาขึ้นกว่านี้

          นึกถึงยายในเวลานั้น  เห็นหลานกำลังลำพอง ยังไม่เป็นหลักฐาน  คงวิตกสักปานไร แต่ไม่รู้จะห้ามปรามอย่างไรกระมัง  หรือท่านปลงในว่าความละเลิงของคนรุ่นหนุ่มคงเป็นไปชั่วแล่น  แล้วก็ลงรอยเอง

4. The Age of  Boyhood

On  leaving  the novitiate,  my  eldest prince gave  400 baht  to  me to purchase  the  apparel ,  appliances and  home  furnishings. I  had  never  received  this  amount  of  money and  felt  over -  excited.  When  I was much  younger I  received  occasional  cash such  as  4 baht  on  the  lunar  eclipse. The  grown – up  let us buy  our own  thing that  I was fond of . The  25 satangs which  I  graciously  received  from  His Majesty on the occasion of  the merit – making ceremony for the  royal ashes , but this time I had got 400 baht  . The  grand  - mother allowed me to  spend on anything with  pleasure.  I  thought  then  I was also an  adult.  In fact, to  spend the money  was also  childish,  and  I did not  know  whether it was necessary or not  . When  I  bought  something , I did not know  its  exact  price . My  lust  seemed  to have  no  bounds . The  amount of 400 baht  caused me to spend money more than  necessary.

 

When  residing at  the  Grand  Palace  , His Majesty  the King  graciously commanded us to be trained  on horse riding.  When  we stayed outside the palace, we used our  horses to  ride to any place, even to go to the palace  itself.  Sooner  or  later , we  became  experienced in riding . Whenever  we were on  their backs , we galloped them  with  pleasure and  also had independent  mind  like that  of a monk.

Bangrak and Sirom  roads  were  our  lands of pleasure since  they were  very  far  away . When  we galloped  we  knew  that  we could  do  shopping  on  these routes.  Later  the motor – cars came in , and  there were vans or  convertibles with  two  wheels which  were  called  Dogcars.  Some of those had  four  wheels . Usually  when  going to a party, the chauffeurs  drove these  cars.  We  also  used  them , and  sometimes  we  drove  these  cars  as well  , but  we did  not  enjoy much  as our own  horse – riding. I fell off  the  horse for  10 times , but  luckily I was  not  wounded or contused . The   black horse which I rode  seemed to be tame. When  I fell  off , it stopped  for me, but  I pitied   this  horse  since the  horse – breeder was quite mean . Once  he used to beat it  with  his  reins and  one of its  eyes  was lost . I felt  off only once, and  could not  walk for days  from  the wounds that  I had . We  almost  took  Prince  Krom Phra Devavongse Varopakarn to fall off.  This  time we used another  horse in order to add in. It was a real big tall one, but always reared up. We couldn’t ride it so we decided to harness it   to a carriage. After the falling off, I could get better and we used it again and found it a domestic animal. We used this horse on many occasions until we were ordained .

There had been given Chinese  dinner the  way farang had a party. We drank spirit or alcohol or  intoxicant  as it  was our custom. In those days, the  spirit was beer or wine, and was not real hard liquor. We became choked up on western tradition, and might be called a person who could drink too much. I tried hard to learn to drink, but it was not a success. The taste was not great. The more we drank the more intoxicated and unwell we became. Anyway  I  was saved from being an alcoholic. People who drank too much spirit did not have  free mind, and were strapped for money. They did not have self - control and carried themselves to excess or beyond their means. Finally, their faces and manners were markedly out of the ordinary. If one drinks sometime or not much, one may be safe, but when one becomes drunk, one may behave improperly and is never forgiven.  When that person becomes an alcoholic, no one will support him. Some of my disciples had to leave the monkhood because of this. One should economize on it  because it is difficult to say the world ‘just enough’ for the drinking.

The old custom of the gambling on the Thai New Year makes us  get used  to it. When that person grows up, he will spend more money on gambling. We used to play cards for fun all day along. The emotion is always on the gambling, which may be called a wrong view or a misconception. What is the real cause for being engrossed in it? To win or  to lose means to break even, but such case does not naturally occur. If we win, we would like to receive more money. If we lose a little we would like to make up for it. Once we may lose a big sum, we would like to get it back. These are the reasons  for  being  engrossed  in  the gambling . We may  lose some  money or  may not be utteryly ruined , but we  lose our  beneficial  time as well. I never play  Po , the  Chinese gambling game,  or lottery since they  are for the common people.   My disciples who left the monkhood should not  gamble.  Such pleasure  causes many gamblers to be ruined. The  rich people  are  also losers who    lose their time. We get  the chance  to withdraw from   it very  easily. We  should  not have the real  craze  like farang  people . Those  western people  whom  I have known  are not gamblers,  and  do not  play like the  Thai  people   . Soon  they might  find the whole thing  unexciting. Afterwards,   we  discovered  that the  farang people  also  fell  into  this  trap.  Quite a number of  them  were destroyed  by this game and  committed  suicide  . Cards, a well known game, are also a path to complete collapse.

I  never  had  a  chance to  associate with   women , though I used to be  intrigued by  them. Fortunately, I  got off the hook. I saw  some persons , who  got the  social  disease, and  they lost hope and were in a bind . Customary as it is , woman humbly  offers herself  as a consort. But I   have had no lascivious desire. As  you  like, I may be called  a bashful person or I myself may  be  pre – ordained , having a  chaste life , or I may be the person who will be  a monk. So far as  I can see  , life  as a single person is more  convenient   than  having a mate. My disciples who  left  the monkhood  should   never  experiment  on  this . They  should not play around with these  ill – behaved women. When they look for spouses, they  should try their  best to search  for  good  women . If  they marry only  deceitful  or bad women, they  will be utterly ruined and  hopeless.

In  those days , shooting birds and  fishing were  the  young  man’s  game . We had  imitated western  people  on this , but we were not well trained  people  . We  should not commit  a wrong action and  we can  not  shoot  birds skilfully.  If  we  shoot them , they  may die  right away. Sometimes, shooting a pigeon  does not  kill it  , but  we  can see its eyes are helpless. We  pity the bird and may interpret  its inner heart as saying ‘I  didn’t  do  anything wrong to you. Why  did  you  shoot me?’.  From  that time onwards , we may have  to give it up,  but  if we are fond  of  shooting  with our guns,   we can use a target practice . When   I went  fishing , I  could never  get   one fish. I did not   know how to  jerk the fishing  rod , and the fish  never nibbled at  all.

What  made  me extravagant was how I spent 400 baht  without   economizing  . To have 400 baht  without  saving is a real pity. I misunderstood  that  my grand – mother  was well – off  , and  therefore  I spent a lot  of money.  Having  measured  garments   at  the  Chinese  tailors might not be  proud,  and  these  clothes  could  be bought  anywhere. To measure a suit at  a  farang tailor cost a lot more,  but  I was  willing  to go there  . The  furniture could  be bought  at  many  Indian stores , but  they were  not  fine  as those in farang shops. The payment at  the Indian stores  must  be in cash  .To  buy  a  thing at a farang store  you  could  do  the shopping on your  own.  They welcomed  you heartily , and  you need not pay cash right away.  They simply  wrote your  names in their books  and  you  simply signed your names. When  you  bought  a lot , they  would  send the bills intermittently.   The things sold at  farang places were very  neat  and  careful, and  they also  had  Indian goods. The  western  stores  became  our places  of meeting and excursion . Whatsoever that  we saw we would like to buy  them. To buy  on installments or credit   was  like  to be  granted free of charge . To bargain seemed  a bit too  seedy.  Each  time they sent a bill , each one cost  hundreds of  baht. It  was fortunate that the bill  did not  cost  more  than one thousand. That  was like  being depleted , but  that  was not much  since. I could ask for  more money  from my grand – ma. In case that store sent  bills  at  long – term  intervals , it  was  quite  alright .  But  if that  ill – starred  store had  got cash from  you, another few days  more it would send the bill   again . My  grand – ma  who loved me so much would  be happy to  give us more  money and  never complained.  I thought I  should be considerate  to  farang stores and  would pay the following time. This became our  troubles , and I did not  buy  things at modest prices . Our  troubles came  when one store  could  not  resist  the  postponement  , they  filed  a legal  suit in the international  court.  Chao Phrya  Panavongse Maha  Kosa Thibodi told  us in advance to pay the debts. The accuser withdrew the action . I was  frightened   to be notorious. However, I was upset , and  called  down  curses upon this store which I no longer  bought any  more goods. This was my real trouble. We still had our property and assets. A close relative who was well-off might help  to pay my not  insolvent debts. I hated to disturb my grand – mother  who was asked a lot of times for money. Person who had no property and was without friends or family was indebted, so he would be sent to court and had his possessions or property put up for auction or became bankrupt. He would be put to shame, and his debts were his trap which could hardly  be legally       withdrawn. My disciples should be very cautious on this.

I still saved my skin and got by without being ruined. When I was puffed up or conceited , I did not do anything that other person might do or might not dare do when they were much younger.

When I left the novitiate and  studied  English with teacher Patterson, and had private tuition at thepalace ofPrince Krom Praya Panupand Vongse Voradej along with Prince Krom Phra Devavongse Varopakarn, but I was being puffed up with pride, and could not study English any more. At the time, I was trained to play a lively tutti. Those who did not get into the habit might not like to learn. When I was at this  farang school, I learnt to play harmonica with both hands, but  I did not understand the scores. Later, I practiced xylophone instead. When the two hands were untied, I could not practice it well, but many of the songs are still remembered.              

At that time, I did not become an official. His Majesty the King did not use us any more, and we were like small children, but we had daily audience with His Majesty in the evenings and at state affairs or other charitable places  all the time.      

I was hapless because I did not have the opportunity to be an honorable soldier.  Young as I was, my elder brother, Prince Krom Phraya Panupan  Vongsevoradej, Prince Krom Phra Devavonges Varopakarn, were common soldiers, who were organized at the interior section of theGrand Palace or the royal page section in the reign of King Rama IV. They then lived outside theGrand Palace, but the soldiers’ section  there was already dissolved. The royal pages composed of young men were promoted. As a boy, I had no opportunity to join the military force. I used to be a voluntary soldier for a while. TheSaranromya Palace which Prince  Krom Phraya Panupan Vongse Voradej used to reside was then  removed. If I had the opportunity to be a soldier, I thought I would be a real somebody. I still kept in mind my grand-ma at that time.  She must have seen that this grand-son was quite arrogant and had no good standing. She might feel  jittery, but she did not impede it, or she might make up her mind that this arrogance for a young boy like myself  was only fleeting. Sooner  or later all things would  be settled.                  

next page

 

กลับหน้าเดิม

 

 

web site hit counter