พระธรรมปิฎก
(ป.อ. ปยุตฺโต)
จากพจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม |
พรหมวิหาร
๔ ธรรมเครื่องอยู่อย่างประเสริฐ,
ธรรมประจำใจอันประเสริฐ, หลักความประพฤติที่ประเสริฐบริสุทธิ์, ธรรมที่ต้องมีไว้เป็นหลักใจและกำกับความประพฤติ
จึงจะชื่อว่าดำเนินชีวิตหมดจด และปฏิบัติตนต่อมนุษย์สัตว์ทั้งหลายโดยชอบ (webmaster
- หรือหมายถึงวิหารเครื่องอยู่หรือข้อปฏิบบัติของพรหม หรือหมายถึง ข้อปฏิบัติให้ถึงซึ่งความเป็นพรหม)
๑.
เมตตา
ความรักใคร่ ปรารถนาดีอยากให้เขามีความสุข มีจิตอันแผ่ไมตรีและคิดทำประโยชน์แก่มนุษย์สัตว์ทั่วหน้า
๒.
กรุณา
ความสงสาร คิดช่วยให้พ้นทุกข์ ใฝ่ใจในอันจะปลดเปลื้องบำบัดความทุกข์ยากเดือดร้อนของปวงสัตว์
๓. มุทิตา
ความยินดี ในเมื่อผู้อื่นอยู่ดีมีสุข มีจิตผ่องใสบันเทิง กอปรด้วยอาการแช่มชื่นเบิกบานอยู่เสมอ
ต่อสัตว์ทั้งหลายผู้ดำรงในปกติสุข พลอยยินดีด้วยเมื่อเขาได้ดีมีสุข เจริญงอกงามยิ่งขึ้นไป
๔. อุเบกขา
ความวางใจเป็นกลาง อันจะให้ดำรงอยู่ในธรรมตามที่พิจารณาเห็นด้วยปัญญา คือมีจิตเรียบตรงเที่ยงธรรมดุจตราชั่ง
ไม่เอนเอียงด้วยรักและชัง พิจารณาเห็นกรรมที่สัตว์ทั้งหลายกระทำแล้ว อันควรได้รับผลดีหรือชั่ว
สมควรแก่เหตุอันตนประกอบ พร้อมที่จะวินิจฉัยและปฏิบัติไปตามธรรม รวมทั้งรู้จักวางเฉยสงบใจมองดู
ในเมื่อไม่มีกิจที่ควรทำ เพราะเขารับผิดชอบตนได้ดีแล้ว เขาสมควรรับผิดชอบตนเอง
หรือเขาควรได้รับผลอันสมกับความรับผิดชอบของตน
|
แสดงอุเบกขา แบบต่างๆ
ผู้ดำรงในพรหมวิหาร
ย่อมช่วยเหลือมนุษย์สัตว์ทั้งหลายด้วยเมตตากรุณา และย่อมรักษาธรรมไว้ได้ด้วยอุเบกขา
ดังนั้น แม้จะมีกรุณาที่จะช่วยเหลือปวงสัตว์แต่ก็ต้องมีอุเบกขาด้วยที่จะมิให้เสียธรรม
พรหมวิหารนี้
บางทีแปลว่า ธรรมเครื่องอยู่ของพรหม, ธรรมเครื่องอยู่อย่างพรหม, ธรรมประจำใจที่ทำให้เป็นพรหมหรือให้เสมอด้วยพรหม,
หรือธรรมเครื่องอยู่ของท่านผู้มีคุณยิ่งใหญ่
พรหมวิหาร
๔ เรียกอีกอย่างว่า อัปปมัญญา
๔ เพราะแผ่สม่ำเสมอโดยทั่วไปในมนุษย์สัตว์ทั้งหลาย
ไม่มีประมาณ ไม่จำกัดขอบเขต
พรหมวิหารมีในผู้ใด
ย่อมทำให้ผู้นั้นประพฤติปฏิบัติเกื้อกูลแก่ผู้อื่น ด้วยสังคหวัตถุเป็นต้น.
อนึ่ง
ในการที่จะเข้าใจและปฏิบัติพรหมวิหาร ๔ ให้ถูกต้อง พึงทราบรายละเอียดบางอย่าง โดยเฉพาะสมบัติและวิบัติของธรรม
๔ ประการนั้น ดังนี้
ก. ความหมายโดยวิเคราะห์ศัพท์
๑. |
เมตตา = (มีน้ำใจ)เยื่อใยใฝ่ประโยชน์สุขแก่คนทั้งหลาย หรือน้ำใจปรารถนาประโยชน์สุขที่เป็นไปต่อมิตร |
๒. |
กรุณา = ทำความสะเทือนใจแก่สาธุชน เมื่อคนอื่นประสบทุกข์ หรือถ่ายถอนทำทุกข์ของผู้อื่นให้หมดไป หรือแผ่ใจไปรับรู้ต่อคนสัตว์ทั้งหลายที่ประสบทุกข์ |
๓. |
มุทิตา = โมทนายินดีต่อผู้ประกอบด้วยสมบัติหรือผลดีนั้นๆ |
๔. |
อุเบกขา = คอยมองดูอยู่ โดยละความขวนขวายว่า สัตว์ทั้งหลายจงอย่าผูกเวรกัน เป็นต้น และโดยเข้าถึงความเป็นกลาง |
ข.
ลักษณะ หน้าที่หรือกิจ (รส) ผลปรากฏ (ปัจจุปัฏฐาน) และปทัสถาน (เหตุใกล้)
๑. |
เมตตา = ในสถานการณ์ที่คนอื่นอยู่เป็นปกติ |
|
ลักษณะ = เป็นไปโดยอาการเกื้อกูลแก่คนสัตว์ทั้งหลาย |
|
หน้าที่ = น้อมนำประโยชน์เข้าไปให้แก่เขา |
|
ผลปรากฏ = กำจัดความอาฆาตแต้นเคืองให้ปราศไป |
|
ปทัสถาน = เห็นภาวะที่น่าเจริญใจของคนสัตว์ทั้งหลาย |
๒. |
กรุณา = ในสถานการณ์ที่คนอื่นตกทุกข์เดือดร้อน |
|
ลักษณะ = เป็นไปโดยอาการปลดเปลื้องทุกข์แก่คนสัตว์ทั้งหลาย |
|
หน้าที่ = ไม่นิ่งดูดาย/ทนนิ่งอยู่ไม่ได้ต่อทุกข์ของคนสัตว์ทั้งหลาย |
|
ผลปรากฏ = ไม่เบียดเบียน/อวิหิงสา |
|
ปทัสถาน = เห็นภาวะไร้ที่พึ่ง/สภาพน่าอนาถของคนสัตว์ทั้งหลายที่ถูกทุกข์ครอบงำ |
๓. |
มุทิตา = ในสถานการณ์ที่คนอื่นมีสุขสำเร็จหรือทำอะไรก้าวไปด้วยดี |
|
ลักษณะ = พลอยยินดี/ยินดีด้วย |
|
หน้าที่ = ไม่ริษยา/เป็นปฏิปักษ์ต่อความริษยา |
|
ผลปรากฏ = ขจัดความริษยา ความไม่ยินดีหรือความทนไม่ได้ต่อความสุขสำเร็จของผู้อื่น |
|
ปทัสถาน= เห็นสมบัติ/ความสำเร็จของคนสัตว์ทั้งหลาย |
๔. |
อุเบกขา = ในสถานการณ์รักษาธรรมตามความรับผิดชอบต่อกรรมที่เขาทำ |
|
ลักษณะ = เป็นไปโดยอาการเป็นกลางต่อคนสัตว์ทั้งหลาย |
|
หน้าที่ = มองเห็นความเสมอภาคกันในคนสัตว์ทั้งหลาย |
|
ผลปรากฏ = ระงับความขัดเคืองเสียใจและความคล้อยตามดีใจ |
|
ปทัสถาน= มองเห็นภาวะที่ทุกคนเป็นเจ้าของกรรมของตนว่า สัตว์ทั้งหลายจักได้สุข พ้นทุกข์ ไม่เสื่อมจากสมบัติที่ได้ที่ถึง ตามใจชอบได้อย่างไร |
ค.
สมบัติ
(ความสมบูรณ์หรือความสัมฤทธิ์ผล) และวิบัติ
(ความล้มเหลว หรือการปฏิบัติผิดพลาด
ไม่สำเร็จผล)
๑. |
เมตตา: |
สมบัติ = สงบหายไร้ความแค้นเคืองไม่พอใจ |
|
|
วิบัติ = เกิดเสน่หา |
๒. |
กรุณา: |
สมบัติ = สงบหายไร้วิหิงสา |
|
|
วิบัติ = เกิดความโศกเศร้า |
๓. |
มุทิตา: |
สมบัติ = สงบหายไร้ความริษยา |
|
|
วิบัติ = เกิดความสนุกสนาน |
๔. |
อุเบกขา: |
สมบัติ = สงบหายไม่มีความยินดียินร้าย |
|
|
วิบัติ = เกิดความเกิดความเฉยด้วยไม่รู้ (เฉยโง่ เฉยเมย เฉยเมิน) |
ง.
ข้าศึก
คือ อกุศลซึ่งเป็นศัตรูคู่ปรับที่จะทำลายหรือทำธรรมนั้นๆ ให้เสียไป
๑. |
เมตตา: |
ข้าศึกใกล้ = ราคะ |
|
|
ข้าศึกไกล = พยาบาท คือความขัดเคืองไม่พอใจ |
๒. |
กรุณา: |
ข้าศึกใกล้ = โทมนัส คือความโศกเศร้าเสียใจ |
|
|
ข้าศึกไกล = วิหิงสา |
๓. |
มุทิตา: |
ข้าศึกใกล้ = โสมนัส (เช่น ดีใจว่าตนจะพลอยได้รับผลประโยชน์) |
|
|
ข้าศึกไกล = อรติ คือความไม่ยินดี ไม่ใยดี ริษยา |
๔. |
อุเบกขา: |
ข้าศึกใกล้ = อัญญาณุเบกขา (เฉยไม่รู้เรื่อง เฉยโง่ เฉยเมย) |
|
|
ข้าศึกไกล = ราคะ (ความใคร่) และปฏิฆะ (ความเคือง) หรือชอบใจและขัดใจ |
จ.
ตัวอย่างมาตรฐาน ที่แสดงความหมายของพรหมวิหารได้ชัด ซึ่งคัมภีร์ทั้งหลายมักยกขึ้นอ้าง
๑. |
เมื่อลูกยังเล็กเป็นเด็กเยาว์วัย |
|
แม่ - เมตตา รักใคร่เอาใจใส่ ถนอมเลี้ยงให้เจริญเติบโต |
๒. |
เมื่อลูกเจ็บไข้เกิดมีทุกข์ภัย |
|
แม่ - กรุณา ห่วงใยปกปักรักษา หาทางบำบัดแก้ไข |
๓. |
เมื่อลูกเจริญวัยเป็นหนุ่มสาวสวยสง่า |
|
แม่ - มุทิตา พลอยปลาบปลื้มใจ หรือหวังให้ลูกงามสดใสอยู่นานเท่านาน |
๔. |
เมื่อลูกรับผิดชอบกิจหน้าที่ของตนขวนขวายอยู่ด้วยดี |
|
แม่ - อุเบกขา มีใจนิ่งสงบเป็นกลาง วางเฉยคอยดู |
พึงทราบด้วยว่า
ฉันทะ
คือ กัตตุกัมยตาฉันทะ (ความอยากจะทำให้ดี หรือความต้องการที่จะทำให้คนสัตว์ทั้งหลายดีงามสมบูรณ์ปราศจากโทษข้อบกพร่อง
เช่น อยากให้เขาประสบประโยชน์สุข พ้นจากทุกข์เป็นต้น) เป็นจุดตั้งต้น (อาทิ) ของพรหมวิหารทั้ง
๔ นี้
การข่มระงับกิเลส (เช่นนิวรณ์)
ได้ เป็นท่ามกลาง
สมาธิถึงขั้นอัปปนา
(คือ ภาวะจิตที่มั่นคงเรียบรื่นสงบสนิทดีที่สุด) เป็นที่จบของพรหมวิหารทั้ง ๔ นั้น
|