|
|
อุเบกขา ในทางพระพุทธศาสนามีคำว่า อุเบกขา อยู่หลายความหมายหรือหลายนัยด้วยกัน ดังเช่น อุเบกขาในสัมโพชฌงค์ ๗, อุเบกขาในฌาน, อุเบกขาเวทนา, อุเบกขาในพรหมวิหาร ๔, อุเบกขาในสังขารขันธ์(เจตสิก ๕๒)หรืออารมณ์อุเบกขาหรืออารมณ์กลางๆ, อุเบกขาในวิปัสนูปกิเลสอันเป็นโทษ จึงควรมีความเข้าใจที่ถูกต้อง เมื่อกล่าวถึงสาระหรือเรื่องนั้นๆจะได้จำแนกแตกธรรมได้ถูกต้อง ตลอดจนไม่เกิดความสับสนเสียจนเกิดวิจิกิจฉาในธรรมนั้นๆ อันจักยังให้ปฏิบัติไปผิดลู่นอกทางอีกด้วย ดังเช่นไม่เข้าใจผิดไปยึดอุเบกขาในฌานที่แม้ให้ความสุขความสงบในช่วงระยะหนึ่งนั้นๆว่า เป็นหนทางดับทุกข์อย่างถาวรแท้จริง จนเกิดผลร้ายคือวิปัสนูปกิเลสขึ้นได้ จากการติดเพลินโดยไม่รู้ตัว
อุเบกขาทั้ง ๖ องค์นี้ ถึงแม้ล้วนมีความหมายว่า เป็นกลาง อยู่กลางๆ เฉยๆ ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดด้วยกันทั้งนั้น แต่มีเหตุเกิดที่ต่างกัน หรือจากการปฏิบัติที่แตกต่างกันไป ผลที่ออกมาจึงมีความแตกต่างกันไปอย่างมีนัยยะสำคัญเป็นธรรมดา แต่ก็ดังที่กล่าวแล้ว ล้วนมีนัยว่า เป็นกลางๆทั้งสิ้น, มีทั้งที่เป็นคุณและโทษ
อุเบกขา ในโพชฌงค์
อุเบกขา
ในโพชฌงค์ หรือที่เรียกว่าอุเบกขาสัมโพชฌงค์
การทำใจให้เป็นกลาง วางทีเฉย
หมายถึง การกระทำทางใจให้เป็นกลาง โดยการวางทีเฉย เป็นอุเบกขาที่มีเหตุเกิดที่ประกอบด้วยทั้งสัมมาสติ,
สัมมาสมาธิ และสัมมาปัญญา
ครบทั้ง ๓ อันยิ่ง
กล่าวคือการมีสติระลึกรู้เท่าทัน๑ ตั้งใจมั่น๑(คือสมาธิ) อีกทั้งยังต้องพร้อมด้วยปัญญา๑
คือปรีชาที่แจ่มแจ้งอันพึงเกิดจากการพิจารณา(โยนิโสมนสิการ)จนเชื่อมั่นเพราะเห็นตามความเป็นจริงด้วยตนเองจนหมดวิจิกิจฉาจึงเกิดปัญญาพละ
ดังเช่น เข้าใจในขันธ์ ๕, ความเป็นเหตุปัจจัย
ที่เมื่อมีการปรุงแต่งหรือผัสสะย่อมต้องเกิดเวทนา,
หรือเห็นอนิจจังความไม่เที่ยง เมื่อไปยึดไปอยากย่อมเป็นทุกข์เพราะความที่คงสภาพเดิมอยู่ไม่ได้
ฯลฯ. มีสติเห็นตามความเป็นจริงดังนี้ๆ
แล้วจึงอุเบกขาเป็นกลาง
กล่าวคือเมื่อเห็นความรู้สึก คือเกิดเวทนาอย่างไรก็ตาม เป็นสุข เป็นทุกข์
หรือเฉยๆ หรือเกิดอารมณ์ต่างๆ(สังขารขันธ์)เช่น โทสะ โมหะ โลภะ หดหู่ ฟุ้งซ่าน
ฯ. ก็เป็นไปอย่างนั้นตามธรรมหรือธรรมชาติ และปัญญาเห็นว่าให้โทษ ก็ให้วางใจเป็นกลาง
ที่เกิดขึ้นด้วยเจตนาตั้งใจ,ตั้งมั่น(สมาธิสัมโพชฌงค์)
โดยการสำรวมคือการระวังไม่เอนเอียง, ไม่แทรกแซง, ไม่ไปปรุงแต่งคือฟุ้งซ่านไปในสิ่งนั้นๆที่สติรู้เท่าทันตามความเป็นจริง
เนื่องด้วยปัญญาที่เข้าใจยิ่งอย่างแจ่มแจ้งดีว่า
จะเป็นเหตุก่อ
ให้เกิดการปรุงแต่งต่างๆขึ้นมาต่อเนื่องไป กล่าวคือย่อมยังให้เกิดการผัสสะต่างๆ
ซึ่งย่อมยังให้เกิดเวทนาและสังขารขันธ์ต่างๆอีกทั้งมโนกรรม
ที่เป็นไปในลักษณะเกิดดับ
เกิดดับ เป็นวงจรอย่างต่อเนื่องสืบต่อไป จนราวกับว่าเป็นชิ้นเป็นเรื่องๆเดียว ทั้งๆที่ความจริงยิ่งแล้ว
เกิดแต่การปรุงแต่งอย่างเกิดดับ เกิดดับ...อยู่ตลอดเวลาโดยไม่รู้ตัว และเวทนาที่เกิดขึ้นเหล่านั้นย่อมอาจเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา
อุปาทาน
อันเป็นการดำเนินไปตามวงจรของการเกิดขึ้นของทุกข์คือปฎิจจสมุปบาทธรรม, จึงเป็นอุเบกขาที่เป็นไปเพื่อให้ถึงวิมุตติความสุขจากการพ้นไปจากทุกข์อย่างไม่กลับกลาย
อุเบกขาเยี่ยงนี้จัดเป็นอุเบกขาในโพชฌงค์
๗ ซึ่งจัดเป็นองค์สุดท้ายในโพชฌงค์ ๗
จึงเป็นองค์สำคัญที่สุดที่ยังให้ตรัสรู้หรือให้ถึงซึ่งวิชชาและวิมุตติโดยบริบูรณ์ได้ ดังความนี้
กุณฑลิยะ : ข้าแต่ท่านพระโคดมผู้เจริญ ก็ธรรมเหล่าไหนที่บุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมยังวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์?
พระพุทธเจ้า : ดูกรกุณฑลิยะ โพชฌงค์ ๗ อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมยังวิชชาและวิมุติให้บริบูรณ์.
รูป(ธรรมารมณ์) +
ใจ + มโนวิญญูาณขันธ์ มโน สังขารขันธ์(เกิดมโนกรรมขึ้น)
วงจรแสดงขันธ์ทั้ง๕ ที่วนเวียนปรุงแต่ง |
อ่านรายละเอียดของอุเบกขาในโพชฌงค์ ๗ ในเรื่อง อุเบกขา
"อุเบกขาสัมโพชฌงค์" จึงเป็นการกระทำอย่างหนึ่งของจิต กล่าวคือต้องเจตนากระทำหรือคิดอ่าน(สัญเจตนา)ขึ้นด้วยความตั้งใจนั่นเอง ที่ต้องใช้ทั้งสติ และสมาธิแน่วแน่ ตั้งมั่น จึงได้ผล จึงต้องลงมือปฏิบัติให้ถูกต้อง ด้วยการตั้งใจไม่เอนเอียงเข้าไปพัวพันปรุงแต่งนั่นเอง, จึงแตกต่างจาก"อุเบกขาในสังขารขันธ์"ที่เป็นเพียงอาการอย่างหนึ่งของจิต คือเป็นสังขารขันธ์อย่างหนึ่ง คืออารมณ์เป็นกลางๆ ดังในเจตสิก ๕๒(ข้อที่ ๓๔ ในเจตสิก ๕๒) อันเป็นไปเพียงตามกลไกของธรรมชาติ
อุเบกขา ในฌาน
ส่วนอุเบกขาในฌาน อันเป็นองค์ฌานหรือองค์ประกอบหนึ่งใน ๖ ของฌาน อันมีองค์ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา และอุเบกขา (รายละเอียดอยู่ในเรื่อง ฌาน,สมาธิ) เป็นอาการของจิตอย่างหนึ่งของฌาน ที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติสมถสมาธิ ที่หมายถึง เมื่อจิตไปยึดเหนี่ยวหรือกำหนดในอารมณ์สิ่งใดอย่างแน่วแน่ จนเป็นหนึ่ง จึงเป็นเหตุให้ในที่สุดปล่อยวางในสิ่งอื่นๆล้วนสิ้น จึงเข้าสู่ระดับประณีตในจตุถฌานหรือฌาน ๔ ซึ่งแน่วแน่เป็นเอกัคคตารมณ์ กล่าวคือ เมื่อแน่วแน่เป็นเอกอย่างสมบูรณ์หรือเป็นหนึ่งเดียว ขณะนั้นเององค์ฌานอุเบกขาก็จะเกิดเป็นผลขึ้นมาร่วมด้วยเนื่องจากสภาวะเอกัคคตาโดยธรรมหรือธรรมชาตินั้นเอง กล่าวคือ เพราะแน่วแน่ เป็นหนึ่งเดียวนั่นเอง จึงเป็นการปล่อยวางในสังขารการปรุงแต่งต่างๆทั้งปวง(ความคิดหรือธรรมารมณ์) จึงย่อมเป็นเหตุให้เกิดความเป็นกลางหรือความสงบต่อสังขารอื่นๆนั้นขึ้น โดยธรรมหรือธรรมชาติที่เป็นเหตุปัจจัยกันนั่นเอง เหตุเพราะเมื่อแน่วแน่เป็นหนึ่ง จิตย่อมไม่ส่งส่ายไปเกิดการผัสสะ(กระทบ)ต่ออารมณ์หรือสังขารทั้งปวงใดๆ จึงย่อมเกิดความสงบหรืออุเบกขาเป็นกลางขึ้นเองอีกองค์หนึ่ง อันเป็นไปตามหลักปฏิจจสมุปบันธรรมหรืออิทัปปัจจยตานั่นเอง
อุเบกขา ในฌานมีความหมายว่า ความสงบ, ความมีใจเป็นกลาง, ความวางเฉยต่อสังขารคือสิ่งปรุงแต่งต่างๆ, เพียงแต่ว่าความเป็นกลางนั้น เกิดมาจากจิตตั้งมั่น ไม่ส่งออกไปซัดส่ายปรุงแต่งหรือฟุ้งซ่านให้เกิดผัสสะกับสิ่งต่างๆนั่นเอง จึงย่อมไม่เกิดเวทนาและสังขารขันธ์ต่างๆขึ้นมารบกวนได้ แต่ยังมิได้เกิดแต่ญาณ คือปัญญาชอบ แต่เกิดจากเพียงการปฏิบัติชอบ
อุเบกขาในฌาน จึงมีเหตุเกิดที่แตกต่างจากอุเบกขาในโพชฌงค์ ๗ ตรงที่มิได้เกิดแต่ปัญญาระดับสัมมาญาณที่เป็นไปเพื่อการดับทุกข์โดยถาวร แต่เกิดขึ้นจากขณะปฏิบัติฌานสมาธิที่จิตแน่วแน่เป็นเหตุ จึงเกิดเป็นผลขึ้น กล่าวคือเมื่อจิตไม่ได้ปรุงแต่งในสิ่งใดๆเนื่องจากแน่วแน่อยู่กับอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งนั้น จิตย่อมไม่เกิดการผัสสะกับสิ่งฟุ้งซ่านปรุงแต่งหรือกิเลสใดๆ จึงย่อมยังให้เกิดทุกขเวทนาใดๆขึ้นไม่ได้ จึงเป็นสุขในขณะที่เป็นสมาธิหรือฌานนั้นๆเนื่องจากทุกข์ดับไปชั่วขณะนั้นๆ และซึ่งเมื่อนำจิตอันสงบดีแล้วไปเป็นเครื่องเกื้อหนุนหรือสนับสนุนในการเจริญวิปัสสนาให้เกิดปัญญาต่อไปเพื่อการดับทุกข์อีกทีหนึ่งย่อมมีคุณอันยิ่ง อันเป็นหลักการปฏิบัติที่ถูกต้อง กล่าวคือ ภาวะอุเบกขาในฌานที่เกิดขึ้น ย่อมทำให้นักปฏิบัติ มีความสงบไม่ซัดส่ายสอดแส่ บางครั้งจิตเข้าภวังคจิตที่จิตพักผ่อนอย่างสมบูรณ์ เมื่อออกจากอุเบกขาแล้วจึงก่อเป็นกำลังอันสำคัญให้จิต ซึ่งย่อมยังประโยชน์ยิ่งเมื่อนำไปเจริญวิปัสสนา แต่ถ้าปฏิบัติฌานสมาธิบ่อยๆแล้วไม่นำพาการเจริญวิปัสสนาอย่างจริงจังก็จะเกิดปัญหาการติดเพลินและวิปัสสนูปกิเลสขึ้นในที่สุด อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เพราะได้ทำเหตุก่อไปแล้ว ผลจึงย่อมเกิดขึ้น อันเป็นไปตามหลักปฏิจจสมุปบันธรรม และไม่มีผู้ใดไปฝืนสภาวธรรมหรือธรรมชาติได้, การปฏิบัติฌานสมาธิจึงควรเป็นไปเพื่อการสนับสนุนปัญญาหรือการวิปัสสนา ดังธรรมที่กล่าวไว้ดังนี้
"สมาธิปริภาวิตา ปญฺญามหปฺผลา โหติ มหานิสํสา"
สมาธิเป็นเครื่องหนุนปัญญา
อุเบกขาในฌาน มีสติแต่ขาดสัมปชัญญะ ที่หมายถึงอยู่ในภวังค์คือหยุดการรับรู้ในทวารทั้ง ๖ ในขณะนั้น มีสติที่เกิดขึ้นจากการสั่งสมในการปฏิบัติที่เพียงรู้อยู่แต่ในความสงบเท่านั้น ที่ต้องนำกำลังและความสงบนั้นมาดำเนินในการวิปัสสนาให้เกิดปัญญาอีกครั้ง จึงยังประโยชน์อันยิ่ง, ส่วนอุเบกขาในโพชฌงค์นั้นต้องประกอบด้วยสติ,สัมปชัญญะและปัญญาอย่างบริบูรณ์ กล่าวคือ เป็นกลางด้วยได้สติและปัญญาในกิจนั้นๆ, มิได้เป็นกลางที่เกิดสืบเนื่องขึ้นจากการควบคุมจิตไว้กับอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งเพื่อไม่ให้ฟุ้งซ่านออกไปในสังขารทั้งปวงดังเช่นฌาน (อ่านรายละเอียดของภวังค์ได้ในบท นิมิตและภวังค์)
อ่านรายละเอียดของอุเบกขาในฌานและการเกิดขึ้น ในเรื่อง ฌาน,สมาธิ
อุเบกขา ในเวทนาขันธ์
ส่วนอุเบกขาเวทนา ของเวทนาขันธ์นั้น เป็นอีกชื่อหนึ่งของอทุกขมสุขเวทนานั่นเอง เป็นความรู้สึกไม่สุขไม่ทุกข์หรือเฉยๆหรือเปล่าๆ คือเป็นกลางๆ จึงได้ชื่อว่าอุเบกขาเวทนา ที่เกิดขึ้นเมื่อมีการผัสสะกับอารมณ์ต่างๆ เป็นสภาวธรรมของผู้มีชีวิต ที่เมื่อเกิดการผัสสะกับอารมณ์ใดแล้ว ที่ต้องย่อมเกิดความรู้สึกจากการต้องรับรู้แลจำได้ในอารมณ์นั้นๆเกิดขึ้นด้วยในเวทนาต่างๆขึ้น เป็นสุขบ้าง เป็นทุกข์บ้าง เป็นอทุกขมสุขเวทนาหรืออุเบกขาเวทนาบ้าง อย่างใดอย่างหนึ่งต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน สิ่งนี้เกิดขึ้นเป็นประจำเสมอๆ กล่าวคือเป็นสภาวธรรมหรือธรรมชาติของชีวิตอย่างหนึ่ง ที่ไม่ว่าอย่างไรเมื่อเกิดการผัสสะก็ย่อมต้องเกิดเวทนาใดเวทนาหนึ่งขึ้นเป็นธรรมดา เพียงแต่อาจไม่รู้ไม่เข้าใจเท่านั้นเอง ที่ว่าไม่เกิด,ไม่รู้สึก นั่นแหละอุเบกขาเวทนา ในวันหนึ่งๆจึงเกิดอุเบกขาเวทนาเช่นนี้อยู่ตลอดเวลา จนนับไม่ถ้วน มากกว่าเวทนาใดๆทั้งสิ้น ที่พระองค์ท่านตรัสเตือนไว้เสมอๆเป็นอเนกว่า ให้เห็นอุเบกขาเวทนา โดยความไม่เที่ยง ทั้งโดยความไม่ประมาท ก็เพราะความละเอียดอ่อน,ความแผ่วเบา,ความเคยชิน จึงสังเกตุไม่เห็น จึงมักไม่รู้เท่าทัน จึงประมาท จึงมักแปรปรวนไปปรุงแต่งหรือฟุ้งซ่านจนเกิดเป็นทุกข์ขึ้นในที่สุด อุเบกขาเวทนา จึงเป็นการเกิดขึ้นโดยธรรมหรือธรรมชาตินั่นเอง ไม่จำเป็นต้องประกอบด้วยสติ สมาธิ ปัญญาแต่อย่างใด. อีกทั้งควบคุมบังคับเขาไม่ได้ด้วยเป็นอนัตตา เป็นไปตามเหตุปัจจัย
อ่านรายละเอียดของอุเบกขาเวทนา ในเรื่อง อทุกขมสุขหรืออุเบกขาเวทนา
อุเบกขา ในพรหมวิหาร ๔
ส่วนอุเบกขาในพรหมวิหาร ๔ ก็แสดงความเป็นกลางวางทีเฉยเหมือนกับในโพชฌงค์ แต่เป็นข้อปฏิบัติหรือหลักประพฤติ ที่ผู้ปฏิบัติตามด้วยศรัทธา แล้วย่อมยังผลให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุขในการดำรงชีวิต จึงเป็นธรรมประจำใจของผู้ที่เสมอด้วยพรหม จากการอุเบกขาที่เป็นกลางไม่เอนเอียงไปปรุงแต่งในสังขารนั้นๆที่เห็นคุณโทษแล้ว หรือสมควรแก่เหตุแล้ว แต่เป็นการปฏิบัติแบบตรงๆด้วยกำลังศรัทธาตามคำเชื่อหรือคำสั่งสอน กล่าวคือ เป็นอุเบกขาที่ประกอบด้วยศรัทธาและสติเป็นสำคัญ ทั้งปัญญา แต่ยังไม่เป็นปัญญาระดับปัญญาญาณ(สัมมาญาณ)หรือปรีชาหยั่งรู้ดังอุเบกขาสัมโพชฌงค์ข้างต้นที่เป็นไปเพื่อการดับทุกข์หรือหลุดพ้นจากกิเลสที่ประกอบด้วยปัญญาพละ, ดังเช่น ยังไม่เห็นความเป็นเหตุปัจจัย หรือความเป็นไปตามหลักปฏิจจสมุปบันธรรม จนเกิดปัญญาพละ ดังอุเบกขาสัมโพชฌงค์
อ่านรายละเอียดของอุเบกขาในพรหมวิหาร ๔ ในเรื่อง พรหมวิหาร ๔
อุเบกขา ในสังขารขันธ์
อุเบกขา อีกอย่างหนึ่งคือ อุเบกขาในสังขารขันธ์เป็นหนึ่งในเจตสิก ๕๒ ข้อที่๓๔ หรือก็คืออารมณ์อุเบกขา เป็นเพียงการกล่าวแสดงถึงอาการของจิต ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง(ก็คือ อารมณ์หรือสังขารขันธ์นั่นเอง)ว่าเป็นกลางๆ หรือเฉยๆ เช่น อารมณ์เฉยๆ ก็คืออารมณ์เป็นกลางๆ เฉยๆ ไม่สุขไม่ทุกข์ เป็นเพียงการกล่าวแสดงอาการของจิตชนิดหนึ่งเท่านั้น ดังเช่น อารมณ์อุเบกขา(สังขารขันธ์ชนิดอุเบกขา)ก็คืออารมณ์เฉยๆ อารมณ์เรื่อยๆ จึงไม่ได้หมายถึงการปฏิบัติใด แต่จัดเป็นเพียงหนึ่งในอาการของจิตใน เจตสิก ๕๒ (ในหัวข้อที่ ๓๔) เป็นเพียงการบ่งบอกถึงอารมณ์หรือสังขารขันธ์อย่างหนึ่งเท่านั้น จึงเป็นเพียงการกล่าวถึง อาการโดยธรรมชาติอย่างหนึ่งของจิตอย่างหนึ่งเท่านั้น ที่บางท่านมักกล่าวว่ามีอารมณ์เฉยๆ ไม่รู้สึกอะไร เปล่าๆ ไม่เกิดอารมณ์หรือไม่รู้สึกอะไรเลยนั้นไม่ใช่ไม่มีสังขารขันธ์หรืออารมณ์เกิดขึ้น เพียงแต่คืออารมณ์ประเภทอุเบกขานี้เอง
อุเบกขา ในวิปัสสนูปกิเลส
อุเบกขา อีกประการหนึ่งก็มีการกล่าวถึงในวิปัสสนูปกิเลส คืออุปสรรคหรือผลร้ายอันเกิดขึ้นจากการปฏิบัติสมถวิปัสสนาแบบผิดๆ คืออารมณ์อุเบกขา แต่อุเบกขาในวิปัสสนูปกิเลสนี้ เป็นอารมณ์หรือสังขารขันธ์แบบผิดๆ หมายถึงอารมณ์อุเบกขาแบบเฉยๆ ไม่รู้สึกรู้สา รู้สึกสงบปลอดจากทุกข์ จึงเกิดการยึดติด อันเกิดจากการปฏิบัติแบบผิดๆ ขาดทั้งสติและปัญญา จึงนิ่งเฉยโดยขาดเหตุขาดผล เกิดจากการไปยึดติดในความสุข ความสงบ ความสบายใจ อันเกิดจากสมาธิ เนื่องจากเพียงจิตไม่ส่งส่ายออกไปปรุงแต่งให้เกิดการผัสสะใดๆ จึงย่อมเกิดความสงบความสบายขึ้นในชั่วขณะหนึ่ง อันเกิดแต่อำนาจของมิจฉาสมาธิโดยไม่รู้ตัว เลยไปยึดถือในความสงบ เฉยๆ กลางๆนั้นว่าเป็นของดี ถูกต้องแล้ว จึงพยายามทำอยู่เสมอๆทั้งโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ดี จนเกิดการติดเพลิน จึงจัดเป็นอุเบกขาฝ่ายอกุศล อันให้โทษ