มหาจัตตารีสกสูตร
พระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ เล่มที่ ๑๔ |
|
ทรงแสดงธรรมสัมมาทิฏฐิหรือปัญญาเห็นชอบ,เห็นถูกต้องว่ามี ๒ อย่างด้วยกัน คือ อย่างโลกิยะ และอย่างโลกุตระ, ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจเสียก่อนว่า เมื่อเป็นสัมมาทิฏฐิที่หมายถึงความคิดความเห็นอันดีงาม,อันถูกต้อง จึงต่างล้วนย่อมดีงาม, ทั้งสองนั้นไม่ใช่ว่า ฝ่ายหนึ่งดีงามและอีกฝ่ายไม่ดีงาม แต่ประการใด เพียงแต่ขึ้นอยู่กับฐานะและจุดประสงค์แห่งตนเป็นสำคัญ แล้วปฏิบัติให้ถูกต้องแนวทางของฝ่ายนั้นๆเป็นสำคัญนั่นเอง เพราะตามความจริงแล้วต่างล้วนดีงาม ยังประโยชน์แก่ผู้ปฏิบัติหรือมีปัญญาเห็นชอบทั้ง ๒ อย่าง ไม่ว่าจะฝ่ายโลกิยะหรือโลกุตระก็ตามที เพียงแต่ผลที่เกิดขึ้นย่อมมีความแตกต่างกันเป็นธรรมดาไปตามเหตุ, ฝ่ายหนึ่งแม้ยังไม่ถึงขั้นโลกุตระอันเหนือโลกด้วยหลุดพ้นจากกองกิเลสที่ย่อมแน่นอนว่าเป็นสุขอย่างยิ่ง แต่ฝ่ายโลกิยะก็ย่อมยังประโยชน์อันยิ่งใหญ่ในการดำรงและดำเนินชีวิตอย่างเป็นสุขยิ่งตามขันธ์หรือชีวิตตามฐานะนั้นๆของตน กล่าวคือ จึงย่อมดำเนินขันธ์หรือชีวิตอยู่ในศีลและธรรมฝ่ายดีงามจึงย่อมยังให้เกิดวิบากของกรรมดีขึ้น จึงเป็นไปทั้งเพื่อประโยชน์ตนและโลก คือโลกิยะโดยส่วนรวม(สังคม)ขึ้น
จึงเป็นไปดังที่ผู้เขียนกล่าวอยู่เสมอๆว่า พระองค์ท่านทรงโปรดเวไนยสัตว์ทุกระดับ ด้วยพระมหากรุณาคุณยิ่ง การโปรดหรือแสดงธรรมจึงขึ้นอยู่กับจริต สติ สมาธิ ปัญญา ฐานะแห่งตน เช่นภิกษุหรือฆราวาส ฯ. ของผู้ปฏิบัติ จึงมีการสอนออกไปในรูปแบบต่างๆอย่างมากมาย จึงมีการสอนที่แสดงทั้งฝ่ายโลกิยะที่ยังประโยชน์ตนและโลกเป็นที่สุด และฝ่ายโลกุตระที่เป็นไปเพื่อความหลุดพ้นจากกองทุกข์อุปาทานคือนิพพาน เหมือนดังเช่นหลักการปฏิบัติเช่นกันที่มีขั้นทาน ศีล สติ สมาธิ และปัญญา, ดังนั้นการกล่าวสอนดังบันทึกในพระไตรปิฎกหรือพระคัมภีร์มากหลาย ผู้ศึกษาจึงจำต้องแยกแยะจำแนกแตกธรรมด้วยสัมมาทิฏฐิเสียให้ถูกต้องด้วยว่า คำสอนหรือธรรมเดียวกันนี้ล้วนแสดงธรรมที่เป็นไปได้ทั้งสองฝ่ายกล่าวคือทั้งในฝ่ายโลกิยะหรือโลกุตระ เพราะแม้ว่าล้วนยังประโยชน์ทั้งสองฝ่ายก็ตามที แต่ถ้าตีความผิดเสียแล้ว กลับก่อให้เกิดความผิดพลาดในการปฏิบัติขึ้นได้ ดังเช่นในกรณีของสาติภิกษุใน มหาตัณหาสังขยสูตร ที่เป็นภิกษุ พระองค์ท่านได้ตรัสสั่งสอนภิกษุในเรื่องตัณหาต่างๆในแนวทางโลกุตระหรือปรมัตถ์ยิ่ง เพื่อความหลุดพ้นเป็นสำคัญ แต่สาติภิกษุกลับไปตีความในเรื่องของวิญญาณอย่างโลกิยะในทางโลกคือเป็นไปในลักษณะของเจตภูตหรือปฏิสนธิวิญญาณ จึงถูกพระองค์ท่านทรงกล่าวโทษไว้อย่างรุนแรงว่าเป็น ทิฏฐิอันลามก กล่าวว่าเป็นความคิดความเห็นผิดอันชั่วร้าย เหตุที่กล่าวโทษรุนแรงถึงขั้นนั้น ก็เนื่องด้วยเมื่อเป็นมิจฉาทิฏฐิอย่างนี้แล้ว ย่อมทำให้ไม่สามารถดำเนินไปได้ตามทางแห่งองค์มรรคเพื่อโลกุตระที่ตนควรดำเนินตามฐานะแห่งตน ด้วยความเป็นภิกษุที่ย่อมควรปฏิบัติเพื่อการหลุดพ้น จึงไม่ควรมีทิฏฐิอย่างโลกิยะที่ย่อมยังให้เนื่องในโลกด้วยไม่เห็นความจริง
ธรรมคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า บางธรรมจึงสามารถจำแนกแตกธรรมออกเป็นไปได้ทั้ง ๒ ลักษณะดังข้างต้น ขึ้นอยู่กับภูมิ หรือจุดประสงค์ของผู้ปฏิบัติเป็นสำคัญอีกด้วย กล่าวคือ ในธรรมเดียวกันนั้นสามารถแสดงหรือตีความหมายได้ทั้ง ๒ ฝ่าย ดังเช่น ปฏิจจสมุปบาท ที่สามารถแสดงได้ทั้ง
ธรรมฝ่ายโลกิยะ เป็นการแสดงธรรมโดยทั่วไปที่เป็นส่วนแห่งบุญ จึงยังผลบุญกุศลต่อขันธ์หรือชีวิตโดยตรง จึงย่อมยังประโยชน์ทั้งต่อตนเองผู้ยังเนื่องอยู่ในโลก ทั้งต่อผู้อื่น และต่อโลกอีกด้วย ที่แสดงการเวียนว่ายตายเกิดจึงเกิดความเกรงกลัวต่อบาปกรรมแห่งตน แต่ย่อมยังเวียนว่ายตายเกิดหรือยังเนื่องอยู่ในโลกหรือโลกิยะอยู่นั่นเอง
ธรรมฝ่ายโลกุตระ เป็นการแสดงอริยมรรคเพื่อความหลุดพ้นจากกองทุกข์หรือการเวียนว่ายตายเกิดในโลกหรือกองทุกข์หรือสังสารวัฏในปัจจุบัน โดยสิ้นเชิง อันเป็นสุข สงบ บริสุทธิ์ยิ่ง
มหาจัตตารีสกสูตร
[๒๕๒]............................
[๒๕๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาทิฏฐิเป็นไฉน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวสัมมาทิฏฐิเป็น ๒ อย่าง คือ
สัมมาทิฏฐิ ที่ยังเป็นสาสวะ (เป็นโลกิยะ) เป็นส่วนแห่งบุญ ให้ผลแก่ขันธ์(ตนหรือชีวิต) อย่าง ๑
สัมมาทิฏฐิ ของพระอริยะ ที่เป็นอนาสวะ เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรค อย่าง ๑ ฯ
[๒๕๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัมมาทิฏฐิที่ยังเป็นสาสวะ (ยังประกอบด้วยอาสวะ, ยังเป็นโลกิยะ)
เป็นส่วนแห่งบุญ ให้ผลแก่ขันธ์(ตนหรือชีวิต) เป็นไฉน คือ ความเห็นดังนี้ว่า
ทานที่ให้แล้ว มีผล
ยัญที่บูชาแล้ว มีผล
สังเวยที่บวงสรวงแล้ว มีผล
ผลวิบากของกรรมที่ทำดี ทำชั่วแล้ว มีอยู่
โลกนี้มี โลกหน้ามี
มารดามี บิดามี
สัตว์ที่เป็นอุปปาติกะมี
สมณพราหมณ์ทั้งหลาย ผู้ดำเนินชอบ ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้โลกหน้าให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วยตนเองในโลก มีอยู่
นี้สัมมาทิฏฐิที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ ให้ผลแก่ขันธ์
(แม้ความเชื่อยังเป็นสาสวะคือประกอบด้วยกิเลสอยู่ แต่ก็ยังผลบุญให้ตนหรือชีวิตในปัจจุบัน)
[๒๕๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาทิฏฐิของพระอริยะ ที่เป็นอนาสวะ เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรค เป็นไฉน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์
ความเห็นชอบ (ใน)องค์แห่งมรรค ของภิกษุผู้มีจิตไกลข้าศึก มีจิตหาอาสวะมิได้
พรั่งพร้อมด้วยอริยมรรค เจริญอริยมรรคอยู่
นี้แล สัมมาทิฏฐิของพระอริยะที่เป็นอนาสวะ เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรค ฯ
ภิกษุนั้นย่อมพยายามเพื่อละมิจฉาทิฏฐิ เพื่อบรรลุสัมมาทิฏฐิ ความพยายามของเธอนั้น เป็นสัมมาวายามะ ฯ
ภิกษุนั้นมีสติละมิจฉาทิฏฐิได้ มีสติบรรลุสัมมาทิฏฐิอยู่ สติของเธอนั้นเป็นสัมมาสติ ฯ
ด้วยอาการนี้ ธรรม ๓ ประการนี้ คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาวายามะ สัมมาสติ ย่อมห้อมล้อม เป็นไปตามสัมมาทิฏฐิของภิกษุนั้น ฯ....................
มหาจัตตารีสกสูตร แบบบริบูรณ์ แสดงมรรคองค์ ๑๐ ของพระอริยะ
(แสดงมิจฉาทิฏฐิ ที่ถูกพระองค์ท่านตำหนิว่า ลามกหรือชั่วร้าย)
แสดงธรรมโดย ท่านพระธรรมปิฎก