| ข้อคิด |
|
ภพ ชาติ ในปฏิจจสมุปบาท ในแง่มุมมองของกระบวนจิตที่ทําให้เกิดทุกข์ จึงหมายถึง ภพ ชาติย่อยๆที่เกิดดับๆๆๆ...ขึ้นหลายแสนภพ,หลายแสนชาติ ณ.ปัจจุบันชาติของท่านทั้งหลายนั่นเอง แต่เป็นการแจงอย่างละเอียดแบบปรมัตถ์ถึงขั้นตามความเป็นจริงอย่างที่สุด และถ้าจําแนกเป็นแบบบุคคลาธิษฐานคือแสดงธรรมโดยการยกบุคคลขึ้นอ้างอิงในการสอน, ภพในปัจจุบันชาตินี้ ก็ย่อมสามารถจําแนกเป็นภพต่างๆได้เช่นกัน ตามสภาวะจิตหรือภพที่เกิดขึ้น ดังเช่น
ภพของพรหม สภาวะจิตอยู่ในสภาพเฉกเช่นพรหม มีพรหมวิหาร๔ มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา อันย่อมยังให้ชาติและชราที่เกิดขึ้นในภพของพรหมนี้ย่อมเป็นสุขตามภพที่เกิดอยู่นี้ มีสภาพดุจดั่งเป็นพระพรหมชั่วระยะหนึ่ง เหตุที่ชั่วระยะหนึ่งนั้นเพราะแม้แต่พระพรหมก็ยังอยู่ภายใต้กฎพระไตรลักษณ์นั่นเอง ยังมีการเกิด(อุบัติ) หรือจุติ(ดับ)ไปเป็นธรรมดา เฉกเช่นพรหมทั้งหลาย
ภพของเทวดา สภาวะจิตอยู่ในสภาพเฉกเช่นเทวดา อยู่ในภาวะมีสุข สนุก สบาย ในทางกายใจ แต่สภาพหลงระเริง
ภพของมนุษย์ สภาวะจิตอยู่ในสภาพเฉกเช่นมนุษย์ อันมีติดพันอยู่ในกามสุข หลงระเริง มีสุขบ้าง ทุกข์บ้าง สลับคละเคล้ากันไป
ภพนรก หรือ อเวจี สภาวะจิตอยู่ในสภาพเฉกเช่นอยู่ในอเวจี มีแต่ความรุ่มร้อนของทุกข์ที่รุมเร้าดุจดั่งไฟบัลลัยกัลป์ที่คอยเผาไหม้จิตอันยังผลต่อกายด้วยให้ร้อนรุ่มสุมทรวง ตั้งแต่เรายังมีชีวิตอยู่แล้ว มิต้องรอจนถึงกาลแตกดับตายแต่อย่างเดียว
หลังจากถึงกาลแตกดับหรือตายแล้ว ก็จะเกิดภพ ชาติใหม่ขึ้นดังภพชาติย่อยๆที่เกิดขึ้นในปัจจุบันชาตินี้ อันย่อมเป็นไปตามกรรมหรือการกระทําที่ได้ สั่งสมไว้ อันเป็นไปอย่างยุติธรรมเป็นที่สุด.
.................
ผลของอาสวะกิเลสและอวิชชา ที่เห็นชัดแจ้งในยุคเทคโนโลยีได้แก่อาการที่แสดงหรือเป็นปัจจัยให้เกิดการป่วยทางจิตและทางกาย(ที่มีสาเหตุมาจากจิต มีมากมายจนคาดไม่ถึงจริงๆ อ่านได้ในรายละเอียดการทํางานของขันธ์๕ที่แสดงความสัมพันธ์ของกายและจิต) เหล่านี้ล้วนมีผลมาจากอาสวะกิเลสที่ทําให้ขุ่นข้องคับแค้นใจ(อุปายาส), เศร้าใจ (โทมนัส), ใจหดหู่เศร้าโศก (โสกะ)..ฯลฯ. สะสมพอกพูนจนไม่สามารถทนรับได้อีกจนแสดงผลทางกายออกมาเช่นป่วยเป็นโรคนั้น โรคนี้ โดยไม่ทราบหรือไม่มีสาเหตุทางกายโดยตรงหรือเชื้อโรค หรือขุ่นมัวกราดเกรี้ยวด่าว่าไปทั่วโดยไม่มีเหตุอันควร(เป็นทางวจีสังขาร) หรือแสดงผลทางจิต เช่น อาการฟุ้งซ่าน หดหู่ใจ ใจเหี่ยวแห้งอยู่ลึกๆในใจโดยไม่ทราบเหตุชัดเจนหรือแน่ชัดเป็นเวลานานๆ หรือเป็นโรคจิต(โรคทางมโนสังขาร)ก็เพราะอาสวะและอวิชชานี้เอง เพราะทั้งจิตและกายต่างเป็นปัจจัยแก่กันและกันประกอบกันเป็นตัวตนหรือขันธ์๕ ซึ่งกายก็ต้องอาศัยจิต และจิตก็ต้องอาศัยกาย ดังนั้นบางครั้งจักเห็นอาการกายบังคับจิต และบางครั้งก็เห็นจิตบังคับกาย
ปุจฉา - วิสัชนา
ท่านเคยโยนิโสมนสิการไหมว่า เหตุใดพระพุทธองค์จึงทรงตรัสไว้ว่า จะบังเกิดพระพุทธเจ้าสักกี่พระองค์ก็ตาม ห่างกันกี่กัป กี่แสนกัลป์ก็ตาม พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ที่มาบังเกิดนั้นก็ตรัสรู้ธรรม ธรรมเดียวกันนั่นเอง อันจักเป็นไปได้อย่างไร?
เหตุเพราะธรรมนั้นเป็นสิ่งๆเดียวกันนั่นเอง คือสภาวธรรมหรือสภาวธรรมชาติของทุกข์และการดับทุกข์ อันเป็นปรมัตถ์ตามความเป็นจริงขั้นสูงสุดแล้วจึงมิสามารถแปรผันได้ จึงเป็นการตรัสรู้ในสภาวธรรมอันเป็นไปตามกฏธรรมชาติอันสูงสุดนั้น จึงต้องเป็นธรรมเดียวกันทั้งสิ้น
หยุดคิด
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล พระอริยสงฆ์ได้กล่าวสอนอยู่เนืองๆว่า หยุดคิด หรือ อย่าส่งจิตออกนอก อันท่านหมายถึงให้หยุดคิดนึกปรุงแต่งหรืออย่าส่งจิตออกนอกไปคิดนึกปรุงแต่ง ด้วยเหตุเพราะตัณหาที่เกิดนั้นอาจไม่ได้เกิดจากเวทนาของความคิดหรือสังขารแรกแต่ฝ่ายเดียว แต่เกิดจากเวทนาของความคิด(นึกปรุงแต่ง)ที่เกิดขึ้นตามหลังมาเรื่อยๆก็ได้ หลวงปู่จึงมักกล่าวสอนอยู่เนืองๆว่าอย่าส่งจิตออกนอก(ไปคิดนึกปรุงแต่ง) เพราะจะยังให้เกิดทุกข์ขึ้นตามมาในที่สุดนั่นเอง หลวงปู่จึงให้ตัดไฟเสียแต่ต้นลมเพราะที่เวทนานั้นเป็นกระบวนการธรรมชาติ เกิดอย่างไรก็เป็นเช่นนั้นเอง จึงหยุดที่เหตุปัจจัยโดยตรงที่ทําให้เกิดเวทนาคือหยุดปรุงแต่ง อันเป็นไปตามหลักธรรมปฏิจจสมุปบาท
คติธรรม
ท่านผู้ที่หายจากโรคอันเกิดจากใจได้แก่ผู้สิ้นกิเลสแล้ว ถึงแม้โรคในกายของท่านจะยังปรากฎอยู่ ก็เป็นแต่อาการความรู้สึก(เวทนาชนิดทุกขเวทนาเท่านั้น) หาได้ทำใจของท่านให้กำเริบไม่ เพราะโรคใจของท่านไม่มีแล้ว สมุฏฐานคืออุปาทานของท่านได้ถอนหมดแล้ว ฉะนั้นท่านจึงมีความสุขและได้ลาภอย่างยิ่งในความไม่มีโรค(ทางใจ)
ธรรมเทศนาเรื่องโรค หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
--------------------------
ปุจฉา - วิสัชชนา ปัญหาในปฏิจจสมุปบาท
จำแนกแตกธรรม ในแต่ละองค์ธรรม
หรือดำเนินต่อไปใน
ปฏิจจสมุปบาท ฝ่ายนิโรธวาร หรือฝ่ายดับทุกข์
|