สารบัญ

สมาธิภาวนา

คลิกขวาเมนู

       สมาธิภาวนา จากสมาธิสูตรด้านล่าง  ท่านได้แสดง"สมาธิภาวนา"หรือ"สมาธิ" ออกเป็น ๔ ประการด้วยกัน คือ

       ๑.สมาธิภาวนา เพื่ออยู่เป็นสุขในปัจจุบัน  ได้แก่ สมาธิในฌาน ๔ หรือสมาธิในมรรค ๘ นั่นเอง ที่เรียกกันว่า"สัมมาสมาธิ" ที่มีกล่าวในสติปัฏฐาน ๔ ว่าเป็นสัมมาสมาธิที่พระอริยเจ้าท่านสรรเสริญ, หรือเรียกกันว่าสมถสมาธิบ้าง, แต่ถึงอย่างไรก็ดี ยังคงเป็นเพียงสมาธิเพื่ออยู่เป็นสุขในปัจจุบันตามอัตตภาพเท่านั้น เพื่อเป็นกำลังในการปฏิบัติต่อๆไป  ยังไม่ใช่สมาธิเพื่อการสิ้นอาสวะหรือการดับไปของทุกข์,   สมาธิภาวนาประการนี้มักปฏิบัติโดยการอาศัยกาย หรือการกำหนดหมายในสิ่งต่างๆเป็นอารมณ์ คือใช้เป็นสิ่งที่จิตใช้ในการกำหนดหมาย ให้เกิดความแน่วแน่ ไม่ซัดส่าย จึงเกิดความสุข ความสบาย คลายทุกข์(ชั่วขณะ)ลงไปได้ดี  เป็นสมาธิที่เป็นผลตามมา ซึ่งสมาธินี้ให้ผลคือ

                ๑.จิตมีกำลัง

                ๒.ทำให้จิตใส เหมือนดั่งน้ำสะอาดที่สิ่งขุ่นมัวย่อมตกตะกอนนอนเนื่องไม่ถูกกวนให้ขุ่นมัวขึ้นมาในชั่วขณะะนั้นๆ  จึงทำให้เห็นในสิ่งที่คิดพิจารณาได้ชัดเจน  จึงเป็นการเกื้อกูลปัญญา  

                ๓.จิตเป็นสุข กล่าวคือเมื่อจิตพอสงบไม่กระสับกระส่าย กายก็ย่อมมีความสงบ จึงย่อมเป็นสุข เป็นปฏิจจสมุปบันธรรมกันโดยธรรม(ธรรมชาติ)

        เมื่อเป็นสมาธิดีแล้ว จึงนำเอาไปปฏิบัติวิปัสสนาคือพิจารณาธรรมให้เห็นความจริง จึงยังประโยชน์ยิ่ง,  แต่ถ้าปฏิบัติไม่ถูกต้องคือเกิดไปติดเพลิน จะกลับกลายเป็นสมาธิภาวนาที่ให้โทษ มักทำให้เกิดวิปัสสนูปกิเลสได้ง่ายๆ กล่าวคือ ต้องนำมรรคองค์ ๘ นี้ ไปเป็นปัจจัยเครื่องหนุนให้เกิดมรรคองค์ ๑๐ คือเกิดสัมมาปัญญาคือปัญญาชอบ(มรรคองค์ที่ ๙) และสัมมาวิมุตติ(มรรคองค์ที่ ๑๐)สุขจากการหลุดพ้นชอบ, คือจากมรรคองค์ ๘ เพื่อยังให้เกิดสัมมัตตะ ๑๐ นั่นเอง จึงสมบูรณ์  เป็นสมาธิที่มีการฝึกหัดกันทั่วไป จนมีการเข้าใจผิดกันไปทั่วว่า สมาธิประเภทนี้สามารถทำให้หลุดพ้นได้โดยตรงๆ อันเป็นสีลัพพตปรามาส(ยึดมั่นในศีลและพรตข้อปฏิบัติอย่างผิดๆ) อีกทั้งเพราะเข้าใจผิดเพราะมีกล่าวไว้ว่า "เป็นสมาธิที่พระอริยเจ้าสรรเสริญ" แต่หมายถึงเพราะการให้ประโยชน์ยิ่งดังกล่าวข้างต้น ที่เป็นประโยชน์ต่อการวิปัสสนาต่อไปในเบื้องหน้า เพื่อให้เกิดปัญญาญาณ

       ๒.สมาธิภาวนา เพื่อได้เฉพาะซึ่งญาณทัสสนะ (คือ การเห็น กล่าวคือการหยั่งรู้, การเห็นที่เป็นญาณ หรือเห็นด้วยญาณ อย่างต่ำสุดหมายถึงวิปัสสนาญาณ  นอกนั้นในที่หลายแห่งหมายถึง ทิพพจักขุญาณบ้าง มรรคญาณบ้าง และในบางกรณีหมายถึง ผลญาณบ้าง ปัจจเวกขณญาณบ้าง สัพพัญญุตญาณบ้าง ก็มี ทั้งนี้สุดแต่ข้อความแวดล้อมในที่นั้นๆ) ได้แก่ อาโลกสัญญาบ้าง ทิพพจักขุญาณบ้าง มรรคญาณบ้าง  เพื่อให้เกิดญาณการหยั่งรู้,  มักปฏิบัติโดยอาศัยธรรมชาติหรือสภาวะต่างๆธรรมชาติเป็นอารมณ์ เช่น สภาวะของกลางวันกลางคืน, ความว่างหรือวิญญาณ, อากาศ, สัญญา, เวทนา ฯ.

       ๓.สมาธิภาวนา เพื่อสติสัมปชัญญะ  ได้แก่ สมาธิในสติปัฏฐาน ๔ (ไม่ได้หมายถึงสมาธิในองค์มรรค ๘) ที่เป็นไปเพื่อ"สติสัมปชัญญะ",  ดังการปฏิบัติโดยการฝึกสติ ดังเช่นอานาปานสติ(มีสติตามดูรู้ทันลมหายใจ) หรือการมี สติตามดูรู้เท่าทันอิริยบถ,  หรือการมี สติตามดูรู้เท่าทันสัมปชัญญะคือการการเคลื่อนไหวของกายต่างๆ  และยังต้องใช้การมีสตินั้น ไปกำหนดหมายใน กาย เวทนา จิต และธรรม,  จึงเป็นสมาธิเพื่อสติสัมปชัญญะ อันมีประโยชน์ยิ่งในการระลึกรู้เท่าทัน คือจำได้ นึกขึ้นได้อย่างรู้เท่า รู้ทัน ในความจริงของ กาย เวทนา จิต และธรรม

       ๔.สมาธิภาวนา เพื่อความสิ้นอาสวะ  ได้แก่ สมาธิสัมโพชฌงค์ ที่เป็นไปเพื่อการสิ้นอาสวะ  เป็นจิตที่ประกอบด้วยจิตตั้งมั่น แน่วแน่ อีกทั้งปัญญา จากสติสัมโพชณงค์   เป็นเหตุปัจจัย ให้เกิด  ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์   เป็นเหตุปัจจัย ให้เกิด  วิริยสัมโพชฌงค์   เป็นเหตุปัจจัย ให้เกิด  จนเกิดปีติสัมโพชฌงค์ และ  เป็นเหตุปัจจัย ให้เกิด  ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์จึงความสุขสงบทั้งกายและใจ จากการ"ธัมมวิจยะ"(ธัมมะวิจยะสัมโพชฌงค์)เป็นอารมณ์กำหนดหมายนั่นเอง อักทั้งด้วยความเพียร(ธัมมวิจะยะสัมโพชฌงค์) จนเกิดปัญญา(ญาณ) ที่เกิดจากการรู้ความจริง(ญาณ) เช่น รูปเกิดขึ้นได้อย่างไร และดับไปอย่างไร,  เวทนาเกิดขึ้นได้อย่างไร และดับไปอย่างไรฯ,  ทุกข์เกิดจากเหตุปัจจัยใดๆ ฯลฯ. เมื่อเข้าใจแจ่มแจ้งย่อมเกิดป๊ติ และปัสสัทธิการสงบกายใจขึ้น,  ด้วยเมื่อจิตมีญาณคือปัญญา อีกทั้งสมาธิ จิตจึงมีความเชื่อมั่น จึงตั้งมั่น มั่นคง แน่วแน่ เข้มแข็ง บากบั่นอยู่ในการอุเบกขาสัมโพชฌงค์ อันเป็นองค์สุดท้ายของการตรัสรู้ ด้วยจิตมั่นคงและแน่วแน่เพราะปัญญาญาณที่รู้จริงยิ่ง  จึงเป็นสมาธิภาวนาที่เป็นไปเพื่อความสิ้นอาสวะ

 

สมาธิสูตร

โรหิตัสสวรรคที่ ๕

[๔๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมาธิภาวนา ๔ ประการนี้ ๔ ประการ เป็นไฉน คือ

        สมาธิภาวนา อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไป เพื่ออยู่เป็นสุขในปัจจุบันมีอยู่ ๑

        สมาธิภาวนา อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไป เพื่อได้เฉพาะซึ่งญาณทัสสนะมีอยู่ ๑

        สมาธิภาวนา อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไป เพื่อสติสัมปชัญญะมีอยู่ ๑

        สมาธิภาวนา อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไป เพื่อความสิ้นอาสวะมีอยู่ ๑

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมาธิภาวนาอันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็น ไปเพื่ออยู่เป็นสุขในปัจจุบันเป็นไฉน

ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม สงัดจาก อกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตกวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวกอยู่

บรรลุ ทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะวิตกวิจารสงบไป มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่

มีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกายเพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌานที่พระอริยะสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข

บรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่

ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมาธิภาวนานี้ อันบุคคล เจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมาธิภาวนาอันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อได้เฉพาะซึ่งญาณทัสสนะเป็นไฉน

ภิกษุในธรรมวินัยนี้ มนสิการอาโลกสัญญา  อธิษฐานทิวาสัญญาว่า กลางคืนเหมือนกลางวัน กลางวันเหมือนกลางคืน

มีใจอันสงัด ปราศจากเครื่องรัดรึง อบรมจิตให้มีความสว่างอยู่

ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมาธิภาวนานี้ อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อได้ญาณทัสสนะ

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมาธิภาวนาอันบุคคลเจริญแล้ว  กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อสติสัมปชัญญะเป็นไฉน

ภิกษุในธรรมวินัยนี้ รู้แจ้งเวทนาที่เกิดขึ้น  รู้แจ้งเวทนาที่ตั้งอยู่  รู้แจ้งเวทนาที่ดับไป

รู้แจ้งสัญญาที่เกิดขึ้น  รู้แจ้งสัญญาที่ตั้งอยู่  รู้แจ้งสัญญาที่ดับไป

รู้แจ้งวิตกที่เกิดขึ้น  รู้แจ้งวิตกที่ตั้งอยู่  รู้แจ้งวิตกที่ดับไป

ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมาธิภาวนานี้ อันบุคคล เจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อสติสัมปชัญญะ

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมาธิภาวนาอันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นอาสวะเป็นไฉน

ภิกษุในธรรมวินัยนี้ มีปรกติพิจารณาเห็นความเกิดขึ้น และความเสื่อมไปในอุปาทานขันธ์ ๕ อยู่ว่า

รูปเป็นดังนี้ ความเกิดขึ้นแห่งรูปเป็นดังนี้ ความดับแห่งรูปเป็นดังนี้

เวทนาเป็นดังนี้ ความเกิดขึ้นแห่งเวทนาเป็นดังนี้ ความ ดับแห่งเวทนาเป็นดังนี้

สัญญาเป็นดังนี้ ความเกิดขึ้นแห่งสัญญาเป็นดังนี้ ความดับแห่งสัญญาเป็นดังนี้

สังขารเป็นดังนี้ ความเกิดขึ้นแห่งสังขารเป็นดังนี้ ความดับแห่งสังขารเป็นดังนี้

วิญญาณเป็นดังนี้ ความเกิดขึ้นแห่งวิญญาณเป็นดังนี้ ความดับแห่งวิญญาณเป็นดังนี้

ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมาธิภาวนานี้ อันบุคคล เจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นอาสวะ

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมาธิภาวนา ๔ ประการนี้แล

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง คำต่อไปนี้ เรากล่าวแล้ว ในปุณณปัญหาในปรายนวรรค หมายเอาข้อความนี้ว่า

ความหวั่นไหวไม่มีแก่บุคคลใด ในโลกไหนๆ เพราะรู้ความสูงต่ำในโลก

บุคคลนั้นเป็นผู้สงบปราศจากควันคือความโกรธ เป็นผู้ไม่มีความคับแค้น เป็นผู้หมดหวัง เรากล่าวว่า ข้าม ชาติและชราได้แล้ว ฯ

จบสูตรที่ ๑

 

  กลับหน้าเดิม

 

 หัวข้อต่อไป anired06_next.gif

กลับหน้าเดิม

กลับสารบัญ

 

 

Google


ทั่วโลก  ค้นหาเฉพาะใน"ปฏิจจสมุปบาท"