![]()
รู้จัก"ทุกข์" ไม่ใช่เพื่อให้เป็นทุกข์ แต่เพื่อใช้ประโยชน์ไปในการดับทุกข์
เป็นไปดังพุทธดำรัสที่ว่า
เราตถาคต บัญญัติขึ้นสอนแต่เรื่องทุกข์ และการดับไปของทุกข์เท่านั้น
เหตุเพราะ
ความทุกข์ทั้งหลาย เป็นทุกข์โดยธรรมชาติจึงยิ่งใหญ่มีอำนาจ จึงไม่มีผู้ใดสามารถหลบเลี่ยงหนีหายจากมันได้ตลอด ตราบเท่าที่ยังดำรงขันธ์หรือชีวิตอยู่ โยนิโสมนสิการดูจากความทุกข์ดังต่อไปนี้ว่าสามารถหลีกเลี่ยงหนีพ้นได้ตลอดไปได้ดังใจหมายไหม? ดังความทุกข์จากการต้อง เกิด๑, การแก่๑, การเจ็บ,ป่วย,ไข้๑, การตาย๑, การพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก๑, การประสบกับสิ่งที่ไม่รักไม่ชอบ๑, การปรารถนาในสิ่งใดแล้วไม่ได้ในสิ่งนั้น๑ ในทุกข์ทั้ง ๗ หรือทุกขอริยสัจนี้ ซึ่งเมื่อทุกข์เหล่านี้โคจรมาตามกาลของมันโดยธรรม(ธรรมชาติ) ก็ย่อมไม่มีผู้ใดหลบเลี่ยงหนีหายหรือไปควบคุมบังคับมันได้, แต่ผู้ถึงซึ่งธรรมของพระองค์แม้ต้องประสบในปัญหาสิ่งเหล่านี้เช่นกัน ดังที่กล่าวข้างต้นแล้วว่าไม่มีผู้ใดหลีกพ้นได้ เหมือนกันทุกรูปทุกนาม แต่สิ่งที่ต่างจากปุถุชนคือ ท่านเหล่านี้จะไม่เป็นทุกข์อันประกอบด้วยความเร่าร้อนเผาลน และยาวนานแสนนาน ด้วยวนเวียนเกิดดับๆๆ..อันเนื่องจากทุกข์เหล่านั้นประกอบด้วยอุปาทานความยึดมั่นความถือมั่นด้วยกิเลส จึงวนเวียนเป็นวงจรของทุกข์(ปฏิจจสมุปบาท)อยู่เนืองๆ กล่าวคือท่านเกิดแต่ทุกข์โดยธรรมชาติ เช่น ทุกขเวทนาที่ย่อมเกิดจากการต้องรับรู้รสในการผัสสะกับสิ่งต่างๆคืออารมณ์ต่างๆ เป็นธรรมชาติเป็นธรรมดาของการดำรงชีวิตเพราะประสาทสัมผัสยังมีอยู่เพื่อสื่อสารกับโลก และแม้เกิดสังขารขันธ์ทุกข์ต่างๆแล้วเช่นโทสะ ทุกข์ใจ ฯลฯ ที่แม้เกิดขึ้นเป็นทุกข์ก็จริงอยู่ แต่ท่านเหล่านั้นไม่เอาคืออุเบกขาสัมโพชฌงค์เสีย ท่านผู้ปฏิบัติดีเหล่านั้นย่อมขาดเสียซึ่งความเร่าร้อนจนเผาลนกระวนกระวายใจ และอีกทั้งไม่ยาวนานเพราะไม่วนเวียนเป็นวงจรของทุกข์ปฏิจจสมุปบาท ด้วยปัญญาพละที่รู้ดียิ่งในเหตุและผล จึงไม่เหมือนดังทุกข์ที่ประกอบด้วยอุปาทานในปุถุชน, ท่านกลับอยู่ได้อย่างสุข สงบ สบายในที่สุด
![]()
ความจริง ทุกข์เท่านั้นย่อมเกิด ทุกข์ย่อมตั้งอยู่ และเสื่อมสิ้นไป
นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรเกิด นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรดับ ฯ
ขยายความได้ดังนี้
ความจริงขั้นปรมัตถ์ "สังขารทั้งปวง"อันย่อมเป็นทุกข์ในที่สุดเท่านั้นที่เกิดขึ้น "สังขารทั้งปวง"อันย่อมเป็นทุกข์ในที่สุดย่อมตั้งอยู่ และเสื่อมสิ้นไป
นอกจาก"สังขารทั้งปวง"อันย่อมเป็นทุกข์ในที่สุด ไม่มีอะไรเกิด นอกจาก"สังขารทั้งปวง"อันย่อมเป็นทุกข์ในที่สุด ไม่มีอะไรดับ
เหตุเพราะ
สิ่งใดที่มีการเกิดขึ้น และการดับไป ล้วนเกิดจากการปรุงแต่งของเหตุปัจจัย จึงล้วนเป็นสังขารทั้งสิ้นนั่นเอง
จึงย่อมมีความไม่เที่ยงแปรปรวน ทำให้คงสภาพเดิมอยู่ไม่ได้ จึงทำให้เป็นที่ตั้งของทุกข์ในที่สุด
เป็นไปตามทุกขลักษณะ(ลักษณะที่แสดงความเป็นทุกข์)
เพราะย่อมยังให้เป็นทุกข์ เพราะความแปรปรวนและคงสภาพเดิมอยู่ไม่ได้ ด้วยเหตุดังกล่าวในที่สุดนั่นเอง
ท่านให้รู้ในสิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่เพื่อให้เป็นทุกข์ แต่เพื่อใช้ดับทุกข์ อันเป็นสุข สงบยิ่ง
เพื่อไม่ให้ไปอยากด้วยตัณหาเพราะความไม่รู้
จนเกิดอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นด้วยกิเลสตน จนเป็นทุกข์เร่าร้อนเผาลน
![]()
ขันธ์ทั้ง ๕ ตลอดจนสังขารทั้งปวง ล้วนอนัตตา จึงไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา มีความหมายถึง จึงควบคุมบังคับบัญชาเขาไม่ได้ จึงเป็นเช่นนี้เอง ไม่ใช่ในความหมายที่ว่า จึงอย่าไปรู้สึกรู้สาแต่อย่างใด จึงคงมีอยู่เป็นธรรมดา เพียงแต่สักว่ามันเป็นเช่นนี้เอง
![]()
แล้ว "สุข" จะกล่าวว่าเป็น "ทุกข์" ได้อย่างไร จริงอยู่เมื่อ "สุข" อยู่นั้นก็ดีอยู่ แต่ถ้าโยนิโสมนสิการให้ดีจากทุกขลักษณะจะพบความจริงอันยิ่งว่า "สุข" นั้นย่อมถูกบีบคั้นจากการความเสื่อมให้คืนสู่สภาพเดิมจนต้องดับไปในที่สุด คงสภาพเดิมอยู่ไม่ได้ จึงเป็นทุกข์ในที่สุดด้วยดับไป จึงเกิดความต้องการการต้องแสวงหา จึงต้องรู้เท่าทัน
ส่วน "ทุกข์" แม้ถูกบีบคั้นจากการเกิดขึ้น ทำให้ทนอยู่ด้วยได้ยาก แต่ก็คงสภาพอยู่ไม่ได้ จึงต้องดับไป แม้เป็นที่ตั้งของความทุกข์ ให้มีสติรู้เท่าทันว่า สักว่ามันเกิดขึ้นเช่นนี้เอง แล้วต้องเสื่อมดับไป
![]()
"จิต"อุปมาดั่ง"เงา" กล่าวคือ จิตไม่มีตัวตนเหมือนดั่งเงา และเกิดแต่เหตุปัจจัยเหมือนดั่ง"เงา" "เงา"นั้นก็ไม่มีในแสง "เงา"นั้นก็ไม่มีในวัตถุทึบที่กั้นบังแสง "เงา"นั้นก็ไม่มีในพื้นที่ตกกระทบของแสง แต่เมื่อเหตุทั้ง ๓ ดังกล่าวมาเป็นปัจจัยปรุงแต่งกัน จึงเกิดสิ่งที่เรียกกันโดยโลกสมมติว่า "เงา" ขึ้น สังขารทั้งปวงก็เฉกเช่นกัน
รายละเอียดของการเกิดขึ้นจากเหตุปัจจัยของ"เงา"
![]()
ความทุกข์

ทั้งๆที่ความจริงแล้ว ทุกข์นั้นเกิดแล้วดับๆ....ตั้งอยู่ได้เพียงชั่วขณะ แต่เหตุที่สามารถดำเนินต่อเนื่องหมุนหนุนเนื่องเป็นวงจรของทุกข์ได้อย่างยาวนาน ก็ด้วยมโนกรรมคือความคิดนึกที่เกิดขึ้นจากสังขารขันธ์คืออารมณ์ต่างๆ แล้วปรุงแต่งต่อเนื่องเรื่อยๆไป ที่เกิดขึ้นได้ทั้งโดยไม่รู้ตัว หรือรู้ตัวแต่หยุดไม่ได้ก็ดีนั่นเอง จนมีความรู้สึกราวกับว่า"ความทุกข์นั้นๆ"เกิดจากการกระทบผัสสะเพียงครั้งเดียว แล้วคงทนวนเวียนอยู่ได้อย่างแสนยาวนาน แต่แท้จริงแล้วทุกข์เหมือนดังหลอดไฟที่มีแสงกระพริบเกิดดับๆ...ตามความถี่ของกระแสไฟสลับ แม้มีการกระพริบอยู่ เพียงแต่ด้วยความเร็วที่เหนือกว่าความสามารถของตามนุษย์ทั่วไปจะมองเห็นจับภาพได้ จนตัองใช้ปัญญามาดัดแปลง แสดงให้เห็นความจริงในที่สุด (และทุกข์นั้นจำต้องใช้ปัญญาเช่นกันจึงจะจับเท่าทันได้) จึงแลดูเหมือนหลอดไฟสว่างโร่ต่อเนื่อง ราวกับว่าเป็นแสงต่อเนื่องเป็นชิ้นเป็นเนื้อเดียวกัน ไม่มีการกระพริบแบบเกิดดับๆ..ของแสง ทั้งๆที่ความจริงแล้วขั้นปรมัตถ์แล้ว มีการกระพริบแบบเกิดดับ..เกิดดับๆ...หรี่ลงไปบ้าง..สว่างบ้าง..ดับไปบ้าง..แล้วหรี่ๆติดๆดับๆอยู่เยี่ยงนี้ อยู่ตลอดเวลาซึ่งเป็นไปตามความถี่ของกระแสไฟสลับ ซึ่งเป็นที่เรียนรู้กันในวิทยาศาสตร์ยุคปัจจุบัน พระพุทธเจ้าผู้มีปัญญาญาณอันยิ่ง ทรงเล็งเห็นการเกิดดับ(อนิจจัง)หรือกระพริบอันไม่เที่ยงนี้ในเหล่านามธรรมอีกด้วย คือในความทุกข์เช่นกัน คือความทุกข์ใจก็เป็นไปเฉกเช่นเดียวกัน ที่เมื่อเกิดขึ้นแล้วแทนที่จะเสื่อมดับไปเป็นธรรมดาในชั่วขณะๆหนึ่ง แต่ไปเกิดการกระพริบแบบเกิดดับๆ..หรี่บ้าง..ดับบ้าง..แล้วเกิดอีกบ้าง อยู่เยี่ยงนี้ตลอดเวลา ด้วยความคิดปรุงแต่งต่างๆคือมโนกรรมความคิดนึกที่เกิดสืบเนื่องทำงานเหมือนกระแสไฟฟ้าสลับนั่นเอง โดยไม่รู้ตัว หรือถึงรู้ตัวแต่ก็หยุดไม่ได้ก็ดีนั่นเอง จนเรารู้สึกราวกับว่าเกิด"ทุกข์ที่เกิดจากการผัสสะต่างๆ"หรือจาก"การผัสสะของความคิด(ธรรมารมณ์)"เพียงครั้งเดียวเท่านั้น แล้วเกิดขึ้นอยู่สืบเนื่องยาวนานอย่างต่อเนื่อง ๑ช.ม.บ้าง...๒ช.ม.บ้าง...๑วันบ้าง...๒วันบ้าง...๓วันบ้าง...๑ปีบ้าง...๒ปีบ้าง...ไปได้เรื่อยๆ แต่แท้จริงแล้วเราไม่ได้สังเกตุเห็นหรือไม่มีสติระลึกรู้ในความคิดนึกปรุงแต่งต่างๆ(มโนกรรม)ที่วนเวียนเป็นวงจรอยู่โดยไม่รู้ตัว ถ้าเราหยุดเหตุคือการ"คิดปรุงแต่ง"ที่เกิดจากมโนกรรมนั้นเสียด้วยกำลังของปัญญาที่เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง จึงเกิดปัญญาพละ ว่าเมื่อคิดนึกปรุงแต่งในมโนกรรมอีก ย่อมเกิดธรรมารมณ์ขึ้นมาอีก จนการผัสสะขึ้นอีก ย่อมยังให้เกิดทุกขเวทนาและสังขารขันธ์ทุกข์ขึ้นอีกตามมา ดังนั้นเมื่อหยุดการคิดนึกปรุงแต่งจากมโนกรรมลงไปได้ การเกิดดับๆ..หรือการกระพริบก็จะเสื่อมดับไป หรือด้วยการ"อุเบกขาสัมโพชฌงค์"เสียนั่นเอง แล้วทุกข์ที่เกิดขึ้นแล้วนั้นก็ย่อมเสื่อมดับไปด้วยธรรมนิยามหรือพระไตรลัษณ์ ไม่เป็นอื่นไปได้
(รูป-ธรรมารมณ์) + ใจ + มโนวิญญูาณขันธ์ หยุด สังขารขันธ์
จึงเกิดมโนกรรมขึ้น วงจรแสดงขันธ์ทั้ง๕ ที่วนเวียนฟุ้งซ่านจนเป็นทุกข์ในที่สุด | รูปูปาทานขันธ์ + ใจ + วิญญูาณูปาทานขันธ์ หยุด สังขารูปาทานขันธ์
จึงเกิดมโนกรรมทุกข์ขึ้น วงจรอุปาทานขันธ์ทั้ง๕ที่ล้วนถูกครอบงําโดยอุปาทาน จึงเร่าร้อนยิ่ง |
วนเวียนเป็นวงจรดั่งนี้ จึงอุปมาดั่งปาหินใส่น้ำไม่หยุดหย่อน ผิวน้ำ(จิต)จึงย่อมกระเพื่อมหวั่นไหวอยู่ตลอดเวลา
![]()
ดังนั้นถ้าดับมโนกรรม คือการหยุดคิดนึกปรุงแต่งในมโนกรรมนั้นๆเสีย ธรรมารมณ์ที่เกิดขึ้นใหม่ย่อมไม่มี ก็คือ"อวิชชา"ดับ ย่อมทำให้
(ด้วยการอุเบกขามโนกรรมเสีย) ผัสสะย่อมไม่มี
ธรรมารมณ์ดับ
มโนย่อมไม่เกิด(ทำงานในเรื่องนั้น)
มโนวิญญาณในเรื่องนั้นไม่เกิด
สัญญาจําดับ
เวทนาดับ
สัญญาหมายรู้ดับ
สังขารขันธ์ที่ทำให้เกิดมโนกรรมย่อมดับไป
ธรรมารมณ์ข้างต้น ทำหน้าที่เป็นเหตุ เมื่ออุเบกขาในมโนกรรมเสีย จึงสามารถไม่เกิดขึ้นได้อีก(จึงดับไป)
ธรรมารมณ์ไม่ใช่ขันธ์ ๕ แต่ทำหน้าที่เป็นเหตุ แต่ถ้าเกิดขึ้นมาแล้ว ก็ต้องยังให้เกิดผลขึ้น
มโนกรรมแม้เป็นผลที่เกิดขึ้น อันทำหน้าที่อิสระเพราะเป็นผลจากขันธ์ทั้ง ๕ จึงย่อมยังให้เกิดมโนกรรม ซึ่งเราย่อมไปควบคุมบังคับไม่ได้
แต่สามารถใช้ปัญญาพละ อีกทั้งด้วยการอุเบกขาในมโนกรรม จึงหยุดธรรมารมณ์ได้ คือไม่ให้เกิดขึ้นอีกได้ (หรือเรียกว่าดับไป)
เมื่อรู้แล้ว จงหยุดความคิดฟุ้งซ่าน(มโนกรรม)ออกไปปรุงแต่งเสีย หรืออุเบกขาในมโนกรรมนั่นเอง
![]()
ข้อคิดแนวทางปฏิบัติ
หลักปฏิบัติ สมถสมาธิ(สมถกรรมฐาน) (ทำสมาธิ)
- ให้หยุดคิดหยุดนึกทั้งปวง มีแต่สติหรือจิตแน่วแน่อยู่แต่ในอารมณ์
หลักปฏิบัติ วิปัสสนา(วิปัสสนากรรมฐาน) (ทำวิปัสสนาคือการเจริญปัญญา)
- ให้หยุดแต่การคิดนึกปรุงแต่ง มีแต่สติหรือจิตอยู่กับการคิดพิจารณา(ใช้ปัญญา)ในเหล่าธรรมอันเป็นกุศล
หลักปฎิบัติ สมถวิปัสสนา (สมาธิ + วิปัสสนา)
- เมื่อปฏิบัติสมถสมาธิ(สมถกรรมฐาน) เมื่อจิตสงบระงับดำริพล่านเป็นกำลัง แล้วเจริญวิปัสสนา(วิปัสสนากรรมฐาน)
![]()
มีสติระลึกรู้เท่าทัน พร้อมด้วยสมาธิชนิดจิตตั้งมั่น จึงย่อมสงบระงับความดำริพล่าน ไม่ส่งส่ายออกไปปรุงแต่ง จึงทำให้มีกำลังในการสังเกตุเห็นเวทนาหรือจิต(เวทนานุปัสสนาและจิตตานุปัสสนา)ที่เกิดขึ้นในขณะสงบได้แจ่มแจ้งขึ้น พรั่งพร้อมด้วยการเจริญวิปัสสนา จึงยังให้เกิดปัญญาพละจากสัมมาญาณ อันเป็นเพื่อการพ้นไปจากทุกข์คือสัมมาวิมุตติ
![]()
มิจฉาสมาธิ ย่อมบังเกิดแก่ผู้มีมิจฉาสติ
สัมมาสมาธิ ย่อมบังเกิดแก่ผู้มีสัมมาสติ
มิจฺฉาสติสฺส มิจฺฉาสมาธิ ปโหติ
สมฺมาสติสฺส สมฺมาสมาธิ ปโหติ
สัมมาสติ ได้แก่การมีสติเห็นในกาย เวทนา จิต หรือธรรม เห็นที่มีความหมายว่าระลึกรู้เท่าทันตามความเป็นจริง, ส่วนมิจฉาสติ ได้แก่อาการที่มีสติระลึกเท่าทันถึงการหรือสิ่งอันจะยั่วให้เกิดราคะ โทสะ โมหะ ฯ.ตลอดจนความติดเพลินไปในความสงบหรือความสุขหรือความสบายจากสมาธิหรือฌาน จึงจดจ่อเสพรสอยู่ภายในกายหรือใจของตน ที่เรียกว่าจิตส่งใน ซึ่งก็คือมิจฉาสติอย่างหนึ่ง ที่คอยส่งเข้าเสพรสในภายในกายหรือจิตตน
![]()
เวทนาเป็นเหตุปัจจัย จึงมีตัณหา
เวทนาเป็นเหตุ จึงเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหาอันเร่าร้อนทะยานอยากขึ้น อันเป็นไปตามหลักปฏิจจสมุปบาท แต่ในการปฏิบัติไม่ใช่ดับเวทนาจึงดับตัณหาได้ง่ายๆเช่่นนั้น เหตุเพราะเวทนาเป็นสภาวธรรมหรือธรรมชาติของชีวิต เป็นขันธ์(กอง)อย่างหนึ่ง ที่จำเป็นที่ต้องมีอยู่อย่างนั้นเองในการดำรงขันธ์หรือชีวิต ไม่มีเสียไม่ได้เลย และเกิดทุกครั้งทุกทีที่มีการผัสสะ จึงต้องใช้วิธีสติรู้เท่าทัน, ทั้งรู้เข้าใจจึงมีปัญญาพละในเวทนา คือสักว่าเวทนา จึงไม่ยึดมั่น จึงไม่เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดตัณหาขึ้น จึงถูกต้อง การปฏิบัติจึงไม่ใช่โดยวิธีหาทางดับเวทนาด้วยการจะไม่ให้ทุกขเวทนาเกิดขึ้น หรือกดข่มเวทนาไว้เสีย ด้วยเข้าใจผิด
![]()
ราคะ โทสะ โมหะ ฯ
ราคะ โทสะ โมหะ ฯ ไม่มีตัวตน เป็นเจตสิก เป็นสังขารขันธ์อย่างหนึ่ง คือ อาการของจิต ที่ไปปรุงแต่งจิตให้เกิดสัญเจตนาคือคิดอ่านให้กระทำสิ่งต่างๆ(กรรม) ได้ทั้งทางดีชั่ว และกลางๆทั่วๆไปในการดำเนินชีวิต ได้ทั้งทางกาย วาจา และทางใจเช่นมโนกรรมหรือความคิดนึกต่างๆ กล่าวคือเกิดเจตนาความคิดอ่านที่แฝงกิเลสมากับสังขารขันธ์เหล่านั้นๆอันคืออุปาทานนั่นเอง เช่น ในความคิดต่างๆแต่ย่อมแฝงอุปาทาน จึงเกิดการกระทำต่างๆขึ้น กายกรรมการกระทำทางกายต่างๆ หรือวจีกรรมคือการกระทำทางวาจาต่างๆ และมโนกรรมคือความคิดนึกต่างๆ กล่าวคือเจตนาต้องมีที่เกิด หรือเหตุอันคือสังขารขันธ์ จึงเกิดขึ้นมาและไปครอบงำการกระทำต่างๆให้เป็นไปตามอุปาทานที่ยังให้เกิดเจตนาความคิดอ่านเป็นไปตามอำนาจของกิเลสตน
![]()
เมื่อใดที่สมาธิหรือฌานดำเนินไปดังนี้
อาสวะกิเลส+อวิชชา
สังขาร
อันย่อมเป็นสังขารกิเลส เพราะร่วมด้วยอาสวะ ดังเช่น
ฌานสมาธิที่คือสังขารที่ปรุงขึ้น แม้โดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ดี ด้วยความติดใจเพลินในรส
จึงมักร่วมด้วยอาการจิตส่งใน
วิญญาณ
นาม-รูป
สฬายตนะ
ผัสสะ
เวทนาเป็นสุขเวทนาจากอำนาจของสมาธิและฌาน คือความสงบ ความสุข ความสบายต่างๆ
นันทิิเกิดการติดเพลินขึ้นอันคือตัณหา
อุปาทาน
ยึดเอาไว้ให้คงอยู่
ภพ
คือรูปภพหรืออรูปภพตามที่สังขารขึ้นโดยไม่รู้ตัว
ชาติ
การเกิดของทุกข์
ชรา
จึงวนเวียนกระทำการต่างๆ แต่ย่อมล้วนแฝงหรือประกอบด้วยอำนาจของฌานสมาธิด้วยโดยไม่รู้ตัว
จนมรณะคือดับไป และโสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส......แล้วก็วนเวียนเกิดวงจรของทุกข์ปฏิจจสมุปบาทขึ้นใหม่ได้อีกเสมอๆ......
ย่อมไม่ใช่สัมมาสมาธิในองค์มรรคอีกต่อไปแล้ว แต่หมายถึงติดสุข ในมิจฉาสมาธิหรือมิจฉาฌานเสียแล้ว
กล่าวคือกำลังดำเนินไปตามวงจรของทุกข์ ปฏิจจสมุปบาท เป็นที่สุด
![]()
สุขเวทนา เป็นสุขเพราะตั้งอยู่ เป็นทุกข์เพราะแปรไป
ทุกขเวทนา เป็นทุกข์เพราะตั้งอยู่ เป็นสุขเพราะแปรไป
อทุกขมสุขเวทนา เป็นสุขเพราะรู้ชอบ เป็นทุกข์เพราะรู้ผิด.
![]()
สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงจึงทนอยู่ไม่ได้ต้องดับไป สังขารทั้งปวงล้วนอนัตตา ไม่ใช่ตัวใช่ตน, ไม่มีตัวตน ของตนจริง
อสังขตธรรมทั้งปวงล้วนเที่ยง อสังขตธรรมทั้งปวงจึงล้วนอกาลิโกคือคงทนต่อทุกกาล อสังขตธรรมทั้งปวงล้วนอนัตตา ไม่มีตัวตนเฉกเช่นสังขาร
(ถ้ายังวิจิกิจฉาสงสัยในคำกล่าวนี้ ขอให้โยนิโสมนสิการโดยแยบคายในบท พระไตรลักษณ์ )
![]()
คิดหรือธรรมารมณ์(อันเป็นเหตุ)
ใจ
มโนวิญญาณ
ผัสสะ
สัญญาจำ
เวทนา
สัญญาหมายรู้
สังขารขันธ์ โกรธ
ยังให้เกิดมโนกรรมความคิดนึก(อันเป็นผล)
คิดนึกมโนกรรม(อันเป็นผล)มาทำหน้าที่เป็นเหตุอีกคือธรรมารมณ์
ใจ
มโนวิญญาณ
ผัสสะ
สัญญาจำ
เวทนา
สัญญาหมายรู้
สังขารขันธ์-คิดหรือมโนกรรม(อันเป็นผล)
จึงเกิดการต่อเนื่อง สลับสับเปลี่ยนดังนี้อยู่เนืองๆ จึงอย่าได้ปรุงแต่งในมโนกรรมความคิดนึกที่เกิดขึ้น(ผล) ด้วยการอุเบกขาเสียนั่นเอง
หรือจะเขียนเป็นวงจร เพื่อให้เห็นความต่อเนื่อง เพื่อจะได้เห็นความเนื่องสัมพันธดังนี้ จึงยาวนานไปเรื่อยๆได้ชัดเจนขึ้น ดังนี้
|
คิด
อันเป็นเหตุ
(ธรรมารมณ์) + ใจ + มโนวิญญูาณ สังขารขันธ์
คิดหรือมโนกรรม(อันเป็นผล)
ในวงจรจึงล้วนเป็นความคิดที่วนเวียน หรือคิดนึกปรุงแต่งอยู่ตลอดเวลา จนมักเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ขึ้นในที่สุด ดังความแสดงด้านล่างนี้ |
กระบวนธรรมของขันธ์ทั้ง ๕ จึงมักดำเนินเป็นไปตามวงจรสั่งสมทุกข์ในลักษณะดังเช่นนี้อยู่เนืองๆ โดยไม่รู้ตัวด้วยอวิชชา
จึงย่อมเกิดผลต่างๆอันเป็นทุกข์ขึ้น ด้วยเป็นไปดังนี้
|
|
คิดนึกขึ้น ๑ ครั้ง |
คือ
ย่อมเกิดกระบวนธรรมของขันธ์
๕ ขึ้น ๑ ครั้ง ทุกคราไป
โดยธรรมชาติ
|
|
|
เกิดกระบวนธรรมของขันธ์ ๕ ขึ้น ๑ ครั้ง |
ย่อมต้องเกิดเวทนาขึ้น ๑ ครั้ง โดยธรรม(ธรรมชาติ) ทุกคราไป |
|
|
ดังนั้นคิดนึกปรุงแต่ง ๑๐๐ ครั้ง |
ย่อมต้องเกิดเวทนาต่างๆขึ้น ๑๐๐ ครั้งเช่นกัน ทุกคราไป |
|
|
เวทนาเกิดขึ้น ๑๐๐ ครั้ง |
ย่อมเปิดโอกาสเป็นปัจจัยเครื่องสนับสนุนให้เกิดตัณหาได้ ๑๐๐ ครั้ง เช่นกัน ทุกคราไป |
|
|
ตัณหาเกิดขึ้นเมื่อใด อุปาทานก็เกิดขึ้นเมื่อนั้น |
กล่าวคือ ย่อมดำเนินไปตามวงจรของทุกข์ ปฏิจจสมุปบาท โดยธรรมชาติ |
|
|
ดังนั้นจงมีแต่คิด(ธรรมารมณ์) ในขันธ์ ๕ |
แต่ไม่มีคิดนึกปรุงแต่งหรือจิตฟุ้งซ่านปรุงแต่งจากมโนกรรม ให้เกิดโอกาสเป็นทุกข์ |
แม้ว่าเหล่าตัณหานั้น จักได้รับการตอบสนองให้เกิดเป็นสุขขึ้นชั่วขณะ ก็มีอยู่ แต่ย่อมคงสภาพทนอยู่ไม่ได้ จนตัองดับไป
แต่จักเก็บจำไว้ในเป็น"อาสวะกิเลส" ในรูปปริเทวะคือการโหยไห้อาลัยหาในภายหน้า
อันจักก่อเป็นภพชาติอันยังให้เกิดทุกข์อุปาทานในภายหน้าเป็นที่สุด
![]()
ความจริงอันน่ารู้ยิ่งเกี่ยวกับ ตัวกู ของกู
ตัวกู ยังไม่ใช่ ของกู แล้วสิ่งอื่นๆทั้งหลายทั้งปวงจะเป็น ของกู ได้อย่างไร
ตัวกู ยังสักแต่ว่า ธาตุ ๔ แม้ ชีวิตกู ก็สักว่าขันธ์ ๕
เพราะ ตัวกู เป็นอนัตตา
ถ้าตัวกูเป็นของกูแล้วไซร้ กูจะต้องควบคุมบังคับได้ตามปรารถนา
ไม่ใช่บังเอิญได้บ้าง ไม่ได้บ้าง เพียงเพราะความบังเอิญที่ไปตรงตามความปรารถนา
และไม่เป็นไปเพื่ออาพาธเจ็บป่วย ตาย
แต่เพราะตัวกู ไม่ใช่ของกู อย่างแท้จริง
จึงควบคุมไม่ได้ตามปรารถนา
เพราะขึ้นหรืออิงอยู่กับเหตุปัจจัยที่มาปรุงแต่งกัน
เพียงแต่บางครั้ง บังเอิญไปตรงเข้ากับความปรารถนา
จึงไปหลงคิดหลงยึดว่าเป็น ตัวกู ของกู
จึงเป็นทุกข์ร้อนกันไปทั่วทุกโลกธาตุ
(พนมพร)
ตัวกูยังไม่ใช่ของกู แล้วสิ่งทั้งหลายทั้งปวงจะเป็นของกูได้อย่างไร
![]()
สังขารทั้งหลายทั้งปวง
สังขารทั้งหลายทั้งปวง ล้วนเกิดขึ้นมาแต่มีเหตุมาเป็นปัจจัยกันล้วนสิ้น กล่าวคือมีแรงหรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดมากระทำให้เกิดการปรุงแต่งกันขึ้น จึงล้วนไม่ใช่สิ่งๆเดียวกันอย่างแท้จริง เกิดแต่การประกอบหรือประชุมกันขึ้น(เหมือนสารประกอบทั้งหลาย) เมื่อแรงหรือสิ่งที่กระทำให้เกิดการประชุมกันนั้นอ่อนแรงหรือเสื่อมหรือดับไป จึงเกิดความไม่เสถียรต่อสังขาร กล่าวคือเกิดอาการแปรปรวนไปมาคือไม่เที่ยง คงอยู่สภาพเดิมๆไม่ได้ จึงพยายามคืนสู่สภาวะเดิมๆ จนในที่สุดถึงสภาวะสุดท้ายของการแปรปรวนคือดับไปหรือคืนสู่สภาวะเดิมนั่นเอง ล้วนเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวใช่ตนแท้จริง ตัวตนที่เห็นหรือสัมผัสได้ด้วยอายตนะใดๆก็ตามที เป็นเพียงกลุ่ม(ฆนะ)หรือก้อนหรือมวลรวมของเหตุหรือสิ่งต่างๆที่มาเป็นปัจจัยประชุมกันขึ้นมาในขณะหนึ่งๆเท่านั้น จึงขึ้นหรืออิงอยู่กับเหตุหรือสิ่งที่มาประชุมเป็นปัจจัยกันเป็นสำคัญ ตัวตนที่หมายถึงเราจึงไม่สามารถควบคุมบังคับบัญชาให้เป็นไปตามปรารถนาได้
![]()
ตัวกู ยังไม่ใช่ ของกู ก็เพราะ กู ยังบังคับบัญชา ตัวกู ไม่ได้เลย
เพราะ ตัวกู แท้จริงแล้วอิงหรือขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย ไม่อิงหรือขึ้นกับตัวกู
![]()
อนัตตา
รูปที่ตาเห็น หรือสิ่งที่สัมผัสได้ด้วยอายตนะใดๆก็ตามที ล้วนไม่ใช่ตัวตน ของรูปหรือสิ่งนั้นๆ
ไอ้ที่เห็นหรือสัมผัสผัสสะได้ แล้วคิดไปว่าเป็นตัวเป็นตนนั้นๆ ตามความจริงแล้ว เป็นเพียงกลุ่มก้อน(ฆนะ)มายาของเหตุต่างๆที่มาเป็นปัจจัยกันเท่านั้น
(ขยายความแสดง เหตุปัจจัย)
![]()
สิ่งที่น่ารู้เป็นอย่างยิ่ง
กาย
โผฏฐัพพะ
กายวิญญาณ
ผัสสะ
ย่อมต้องเกิดเวทนา
อย่างใดอย่างหนึ่งขึ้น
เป็นสุขเวทนา(สุข)บ้าง หรือทุกขเวทนา(ทุกข์)บ้าง หรืออทุกขมสุข(ไม่สุขไม่ทุกข์)บ้าง ตามสัญญา(ความจดจำได้)นั้นๆ เป็นธรรมดา(ที่ไม่ธรรมดา)
อาการความรู้สึกที่ว่า เฉยๆ เปล่าๆ ไม่รู้สึกอะไร ไม่มีอะไร นั่นแหละอทุกขสุขเวทนาหรืออุเบกขาเวทนาที่เกิดขึ้น
สิ่งที่น่ารู้เป็นอย่างยิ่ง คือ อายตนะภายในทั้ง ๖ อันมี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ต่างล้วนทำงานในลักษณาการเดียวกันทั้งสิ้น
จงโยนิโสมนสิการในเวทนา ที่เกิดแต่อายตนะทั้ง ๖
|
กาย
ใจ
|
เวทนา |
และกระบวนธรรมของจิต ก็ย่อมดำเนินต่อไปจนเกิดสังขารขันธ์หรืออารมณ์ทางโลกในที่สุด
|
กาย
ใจ
|
เวทนา |
|
|
![]()
จิตฟุ้งซ่าน จิตปรุงแต่ง คิดนึกปรุงแต่ง ส่งจิตไปภายนอก
จิตฟุ้งซ่านออกไปปรุงแต่งต่างๆนาๆ ย่อมยังให้เกิดผัสสะ ย่อมยังให้เกิดผลคือเวทนา จึงอาจเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดตัณหา ซึ่งย่อมยังให้เกิดอุปาทาน จึงยังให้เกิดทุกข์ชนิดที่ประกอบด้วยอุปาทาน(ทุกข์อุปาทาน-อุปาทานขันธ์ ๕)อันเป็นทุกข์เร่าร้อนเผาลนขึ้น ดังนั้นในการปฏิบัติจึงต้องหยุดจิตฟุ้งซ่าน อันมีความหมายนัยยะเดียวกันกับ จิตปรุงแต่ง หรือคิดนึกปรุงแต่ง ส่งจิตออกไปภายนอก เสียด้วยการอุเบกขาสัมโพชฌงค์
![]()
การปฏิบัติธรรมไม่ก้าวหน้าไปตามควร ส่วนใหญ่เกิดจากการไม่เข้าใจสภาวธรรม(ธรรมชาติ) จึงมักปฏิบัติกันเหนือสภาวธรรม(เหนือสภาวะของธรรมชาติ)ก็ด้วยความไม่รู้สภาวธรรมหรือธรรมชาติ, จึงไม่มีวันประสบผลสําเร็จ ดังเช่นไม่เข้าใจเวทนา การปฏิบัติจึงเป็นในลักษณะเหนือธรรมชาติของเวทนา คือทุกขเวทนาก็ไม่อยากให้เกิด ไม่อยากให้มี, แยกไม่ออกและไม่รู้ว่าเป็นกระบวนการรับรู้ความรู้สึกต่อสิ่งที่กระทบสัมผัสเท่านั้น ที่ย่อมเกิดขึ้น ตั้งอยู่ระยะหนึ่ง(ถ้าเข้าใจมันแล้วไม่ไปคิดนึกปรุงแต่ง เวทนาจะอยู่แค่สั้นๆช่วงผัสสะ) แล้วต้องดับไป, และยังไม่ใช่ความทุกข์จริงๆ, เป็นแต่ทุกขเวทนาอันเป็นสภาวธรรมตามธรรมชาติ อันจําเป็นสําหรับผู้ที่ยังดำรงขันธ์หรือชีวิตอยู่ ทุกรูปนาม
ข้อสำคัญอีกประการหนึ่งคือการเชื่อตามความเชื่อหรือความคิด(ทิฏฐุปาทาน) หรือเชื่อตามที่ยึดถือสืบทอดกันตามๆกันมาโดยงมงาย(สีลัพพตุปาทาน) โดยไม่รู้ไม่เข้าใจอย่างแท้จริง ที่ครอบงำอยู่โดยไม่รู้ตัว จึงทำให้เข้าใจธรรมได้ยาก
![]()
สมการทางเคมีเปรียบเทียบกับสมการทางพุทธศาตร์
จักเห็นได้ว่าทั้งสอง ต่างล้วนเกิดมาแต่เหตุปัจจัย อันมาประชุมกันชั่วขณะ
|
นํ้า |
= 2H + O >> |
มีไฟเป็นคาตาลิสท์หรือตัวเร่งปฏิกริยา |
= H2O (ชื่อทางวิทยาศาสตร์) |
|
ความทุกข์ |
= เวทนา + ตัณหา >> |
มีอุปาทานเป็นตัวเร่งปฏิกริยา |
= ชรา หรืออุปาทานขันธ์ ๕ อันเป็นทุกข์(ชื่อทางพุทธศาสตร์) |
หลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงสั่งสอนนั้นล้วนแล้วแต่เป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์โดยแท้ถึงขั้นปรมัตถ์
คือตามความเป็นจริงขั้นสูงสุด ทั้งทางรูปธรรมและนามธรรม เป็นอกาลิโก ไม่ขึ้นอยู่กับกาล
ธรรมชาติของจิตและนํ้า
(พิจารณาเพื่อให้เห็นเป็นรูปธรรมชัดเจนขึ้น)
ธรรมชาติของจิตนั้นเปรียบประดุจดั่งธรรมชาติของนํ้า
นํ้านั้นไร้รูปร่าง แปรปรวนไปตามภาชนะที่บรรจุหรือรองรับ, จิตนั้นก็ไร้รูปร่าง แปรปรวนไปตามสิ่งแวดล้อมทุกชนิดที่กระทบสัมผัส(ผัสสะ),
นํ้าประกอบด้วยเหตุปัจจัยต่างๆมาประชุมรวมกันชั่วระยะหนึ่งเช่น H และ O, จิตก็ประกอบด้วยเหตุปัจจัยอันมากหลายมาประชุมกันชั่วระยะหนึ่ง เช่น สิ่งที่มากระทบ(อายตนะภายนอก) เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ฯลฯ.
นํ้าโดยธรรมชาติแล้วมีคุณสมบัติไหลลงสู่ที่ตํ่าเพราะแรงดึงดูดโลก, จิตก็มีคุณสมบัติเหมือนดั่งนํ้าที่โดยธรรมชาติแล้วย่อมต้องไหลลงสู่ที่ตํ่าตามแรงดึงดูดของความเคยชินที่ได้สั่งสม(สังขาร) จึงย่อมดำเนินไปตามกิเลส>>ตัณหา>>แลอุปาทานนั่นเอง,
นํ้าไม่มีวันไหลสู่เบื้องสูงได้เองฉันใด, จิตก็ไม่มีวันไหลสู่เบื้องสูง(เจริญในธรรม)ได้เอง ฉันนั้น
ถ้าเราต้องการยกระดับนํ้าให้สูงขึ้น ย่อมต้องออกแรงพยายามฉันใด, จิตจักสูงขึ้นได้ ก็ย่อมต้องการ การพยายามปฏิบัติฉันนั้น,
การยกระดับนํ้าให้สูงขึ้นโดยใช้วิธีการที่ถูกต้องเช่นเครื่องกล,ภาชนะหรืออุปกรณ์ที่ถูกต้อง ย่อมยกระดับนํ้าได้รวดเร็วฉันใด, จิตก็ย่อมต้องการการปฏิบัติอันถูกต้องจึงจักยกระดับจิตให้สูงขึ้นได้เร็วฉันนั้น,
ธรรมชาติของนํ้าเดือดพล่านเพราะไฟอันเป็นของร้อนฉันใด, ธรรมชาติของจิตก็เช่นกัน ย่อมเดือดพล่านเพราะไฟอันเป็นของร้อนของกิเลสตัณหาอุปาทาน ฉันนั้น
นํ้าบริสุทธ์คือนํ้าที่ไม่มีสิ่งเจือปน, จิตบริสุทธ์ก็คือจิตเดิมแท้ที่ไม่เจือด้วยกิเลสตัณหาอุปาทานนั่นเอง หรือจิตเดิมแท้นั่นแหละคือจิตพุทธะหรือปภัสสร อันมีอยู่แล้วในทุกผู้คนโดยธรรมชาติ เพียงแต่ถูกบดบังหรือครอบงําด้วยกิเลสตัณหาอุปาทานให้มัวหมอง เหมือนน้ำสกปรกนั่นเอง
ข้อสังเกตุ นักปฏิบัติที่เจริญก้าวหน้าแล้วหยุดหรือพอใจแค่นั้น จึงถูกธรรมชาติของจิตเล่นงาน ไหลกลับลงสู่ความเคยชินที่ได้สั่งสมไว้(สังขารในปฏิจจสมุปบาท)หรือตามแรงดึงดูดของกิเลสตัณหาอุปาทานนั่นเอง, กลับคืนสู่สภาพเดิมๆในไม่ช้า
ลองโยนิโสมนสิการแบบสนุกๆดู, บุคคลใดมีทรัพย์สมบัติมากมาย ไม่มีการงานให้ต้องทําหรือรับผิดชอบ มีความสุขทางโลกเต็มที่ ทําบุญครั้งละมากๆ แต่มิได้ปฏิบัติ ท่านว่าบุคคลนี้จักถูกธรรมชาติของจิตดึงดูดลงสู่ที่ตํ่าหรือไม่?
สังขารขันธ์ต่างๆที่เกิดขึ้นนั้น ในชีวิตประจําวันนั้น ส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลจากความเคยชิน คิดสั่งการใดแล้ว ก็จักกระทําไปตามความเคยชินหรือการเรียนรู้ ที่ได้ประพฤติปฏิบัติมาแล้ว แต่แยกไม่ออก จึงไม่รู้ว่าความเคยชินนี้แหละหรือสังขารในปฏิจจสมุปบาทมีอิทธิพลเยี่ยงไร ดังจะไปกินข้าว เพียงคิดขึ้นมาจะเกิดสังขารขันธ์ต่างๆหลายอย่างเช่นลุกขึ้น, เดิน, หาจาน ช้อน,ทานอาหาร อันเป็นการประพฤติปฏิบัติโดยอัติโนมัติไม่รู้ตัว เพราะอิทธิพลของความเคยชิน ที่ได้ประพฤติปฏิบัติ เรียนรู้ อันได้สั่งสมไว้ อันทํางานอยู่เบื้องหลังโดยไม่รู้ตัว ด้วยเหตุนี้นักปฏิบัติหลายๆท่านที่ปฏิบัติก้าวหน้าดีแล้ว จนจางคลายจากทุกข์ได้ผลตามควรแก่ตนแล้ว แต่หยุดปฏิบัติเพราะความพอใจแล้ว หรือหยุดเพราะฤทธิ์ของความเคยชินแล้ว จึงเกิดสภาพไหลลงสู่ที่ตํ่า กล่าวคือกลับสู่สภาพเดิมๆอันได้สั่งสมอบรมไว้เป็นเวลานาน นี้แหละคือธรรมชาติของจิต ดังนั้นความเพียรจนเกิดเป็นสังขารความเคยชินใหม่อันไม่เกิดแต่อวิชชา ดังเช่นการปฏิบัติให้เห็นเวทนาและความคิด(จิต) จึงเป็นสิ่งจําเป็นควบคู่ไปกับความเข้าใจในสภาวธรรม
![]()
ตัวกู ยังไม่ใช่ของกู, แล้วสิ่งทั้งหลายทั้งปวงจักเป็นของกูได้อย่างไร
ถ้าตัวกู เป็นของกูจริงแล้วไซร้ จักต้องควบคุมบังคับได้
ไม่ต้องขึ้นหรืออิงกับสิ่งที่เป็นเหตุปัจจัยกัน
ไม่ต้องอยู่ภายใต้อํานาจของสภาวธรรมหรือธรรมชาติ
![]()
เมื่อเกิดเวทนาทางใจขึ้นมา จึงมีตัณหาอยากหรือไม่อยากเกิดขึ้น จักได้หรือประสบตามความอยากหรือไม่อยากไหม? ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัย แล้วไปอยาก,ไม่อยากให้เสียเวลาและเป็นทุกข์ทําไม ต้องทําเหตุปัจจัยให้ถูกหรือดีที่สุดเท่าที่ทําได้ แล้วไม่ต้องอยากหรือไม่อยากให้เป็นทุกข์ รู้เท่าทันเวทนาตัณหาที่ทําให้จิตขุ่นมัวเศร้าหมอง เท่ากับลดปริมาณการเกิดสังขารลง
ถ้าผ่าน ๔ ด่านนี้อันมี ๑. จิตที่ขุ่นมัว (กิเลส) ๒.เวทนา ๓.ตัณหา ความอยาก, ไม่อยาก และ ๔.อุปาทานพึงพอใจของตน ไปได้ย่อมเป็นอุปาทานทุกข์แน่นอน อันจักต้องดับเสียเช่นกันโดยหยุดคิดนึกปรุงแต่งลงเสีย
อุปาทาน คือความคิดอ่านหรือสัญเจตนาในการสนองตอบต่อตัณหาตนเอง ภายใต้การยึดมั่นถือมั่นในความพึงพอใจหรือสุขของตนเองเป็นหลักสําคัญสูงสุด เป็นสุขที่อยู่ลึกๆแอบซ่อนอยู่ในจิตเป็นการเสพสุขที่ละเอียดอ่อนที่สุด สิ่งใดที่ยิ่งใกล้ชิดกับตัวตนหรือของตนก็ยิ่งมีการตอบสนองรุนแรงขึ้นเป็นลําดับเช่น(เรียงลําดับจากมากไปหาน้อย)อันมี ตนเอง บุตร ภรรยา สิ่งของ ของตน คนรู้จัก คนอื่น ดังเช่น บุตร เราอยากให้เขาประสบความสําเร็จ เรียนดี พ่อแม่แทบทุกคนจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่ต้องการอะไรจากลูกแค่อยากให้ลูกมีความสุขความเจริญก็พอใจแล้วลองมองดูลึกๆ(จิตในจิต)จะเห็น ความจริงว่าเรานั้นต้องการเสพสุขให้ตัวเราเองเป็นหลักสําคัญสูงสุด เพราะเราจะรู้สึกเป็นสุขหรือ "พึงพอใจอยู่ลึกๆในใจ"เพราะลูกประสบความสําเร็จ จะเห็นได้ว่าเป็นการสนองตอบที่ละเอียดซับซ้อนที่สุด แม้แต่สิ่งที่ดูไม่มีความสําคัญอุปาทานก็ยังแอบแฝงทํางานตลอดเวลาเช่น สังเกตุง่ายๆเวลาไปไกลบ้านพบคนที่มาจากบ้านเดียวกันกับพบคนที่มาจากคนละพื้นที่ ความรู้สึกใกล้ชิดอบอุ่นใจในขั้นแรกที่พบจะต่างกันมาก เพราะคนบ้านเดียวกันใกล้ชิดกับตัวตนมากกว่าทําให้เกิดความพึงพอใจหรือสุขเพราะรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยกว่าสิ่งที่ไม่คุ้นเคยใกล้ตัว อันนี้ก็เป็นผลของอุปาทาน
เมื่อโยนิโสมนสิการให้กระจ่างจักค้นพบความเห็นแก่ตัวตนหรือยึดมั่นในตัวตนคือสุขหรือความพึงพอใจของตนเองในรูปแบบที่ละเอียดอ่อน ไม่เคยทราบมาก่อนอยู่ในก้นลึกของใจหรืออวิชชา ตามหลักอนัตตา ตัวตนเป็นเพียงการรวมตัวของเหตุปัจจัยต่างๆชั่วขณะของชีวิตที่คงอยู่อันอุปมาดั่งแสงแดด แว่นขยาย เชื้อไฟ เมื่อเหตุปัจจัยดับหรือแยกตัวออกจากกัน ตัวตนที่เรายึดมั่นถือมั่นเฝ้าทะนุถนอมอยู่ลึกๆอยู่ในจิตตลอดเวลาก็ต้องดับไปด้วย ไม่มีแก่นสาร ไร้สาระไร้ค่าให้ยึดถือ เป็นเพียงธาตุ๔และนาม๔(รูป-นาม)ที่มาประชุมรวมกันตามเหตุปัจจัย เมื่อเหตุปัจจัยนั้นดับลง ธาตุ๔ และนาม๔นั้นก็แยกสลายไปตามสภาวะของมัน ไม่จีรังยั่งยืนไป ตลอดกาล เป็นไปเพื่ออาพาธ(แปรปรวน-เจ็บ,ป่วย,ดับ)
ทุกข์ คือ อาการต่างๆของจิตที่เกิดขึ้น เมื่อมีตัณหาอุปาทานร่วมด้วย และไม่สามารถตอบสนองตัณหาอุปาทานนั้นๆได้
สุข คือ อาการต่างๆของจิตที่เกิดขึ้น เมื่อทุกข์อันเกิดจากตัณหาอุปาทานได้รับการตอบสนองทางใดทางหนึ่ง เป็นปัจจัยให้เกิดภพ ชาติ ชรามรณะในภาวะที่จิตจะมีอาการพึงพอใจ หรือเป็นสุขในภาวะนั้น, เมื่อทุกข์ได้รับการตอบสนองที่เราๆเรียกว่าสุข แล้วก็ต้องดับไป เพราะสุขนี้เป็นอนิจจัง,ทุกขัง,อนัตตา เมื่อดับไปแล้วปุถุชนทั่วไปจึงแสวงหาทุกข์ใหม่ เพื่อดับมันให้เกิดสุขขึ้นใหม่ที่ยิ่งแก่กล้าขึ้นอีกอยู่เรื่อยๆเป็นวงจรอุบาทที่ไม่มีสิ้นสุด เพราะเกิดจากตัวเองเป็นผู้สร้างตลอดเวลาโดยไม่รู้ตัวว่าตัวเองต้องสร้างทุกข์ขึ้นก่อน แล้วต้องตอบสนองมันได้จึงจักมีสุขเกิดขึ้นได้ และสุขนี้เมื่อได้เสพก็ประดุจดั่งยาเสพติดจึงแสวงหาอยู่ตลอดเวลา และเพิ่มปริมาณความอยากขึ้นเรื่อยๆไม่มีที่สิ้นสุดไม่มีประมาณขึ้นตามแต่เหตุปัจจัยของแต่ละคน จนในที่สุดไม่สามารถสนองตอบความต้องการนั้นได้ก็กลายเป็นทุกข์อีก จึงกล่าวได้ว่า
"สุขนั้นไม่มี มีแต่ทุกข์ และดับทุกข์เท่านั้น"
ดับทุกข์ คือความสุข
ดับทุกข์ทั้งปวง จึงคือสุขอย่างยิ่ง
(พนมพร คูภิรมย์ )
หรือสุขก็คือทุกข์อย่างละเอียด สังเกตุให้ดี จะมีสุขต้องมีทุกข์ทางใจเกิดขึ้นก่อนเสมอ คือความอยาก,ไม่อยาก(ตัณหา) หรือความพึงพอใจของตน(อุปาทาน)ในสิ่งใดต้องเกิดขึ้นก่อน แล้วต้องดับทุกข์คือได้รับการตอบสนองความอยากหรือความไม่อยากหรือความพึงพอใจของตนเสียก่อน และปกติจะดับตัณหาไม่ได้ทันที จะเกิดๆดับๆ คือจะลืมไปชั่วขณะแล้วเกิดใหม่ แต่ค้างคาเป็นอาสวะกิเลสอยู่ภายใน เมื่อคิดขึ้นมาก็เกิดทุกข์ต่อ แล้วก็ลืมอีกเป็นวงจรดั่งนี้ไปเรื่อยๆ แล้วอย่างนี้เมื่อไรจะจบสิ้น? จะจบลงต่อเมี่อได้รับการตอบสนองเท่านั้นเป็นสุขขึ้นมา แต่ก็เป็นเวลาไม่นานก็ต้องดับไป คุ้มค่าการลงทุนหรือไม่? แต่ก็ไม่ใช่การผลักไส อะไรเป็นสุขก็จะไม่เอาดังนี้ก็เป็นอวิชชา สุขมีก็มีสติรู้เท่าทันอยู่แต่ไม่ติดเพลินหรือมีตัณหา
ความสุข คือสิ่งที่มนุษย์ทั้งหลายแสวงหากันอยู่
หรือ
สิ่งที่มนุษย์ทั้งหลายแสวงหากันอยู่ก็คือ การดับทุกข์นั่นเอง
อันเป็นสุขที่สงบ สะอาด บริบูรณ์
![]()
ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป
เพราะสิ่งทั้งปวงที่เกิดดับขึ้น ล้วนเป็นสังขาร จึงไม่เที่ยง คงสภาพอยู่ไม่ได้ทั้งสิ้น จึงเป็นทุกข์ในที่สุดนั่นเอง
![]()
ระวังเมื่อมีผัสสะรุนแรงเข้ากระทบอันเข้ามาทางสฬายตนะ, หรือบางครั้งในเวลาแวบคิดขึ้นมา(สังขารความคิดหรือธรรมมารมณ์)กระทบโดยตรง เวทนาที่เกิดเป็นทุกขเวทนาอย่างรุนแรงหรือแรงกล้า จนทําให้สติใม่ทันว่าเป็น"แค่เวทนาเท่านั้น" จึงเกิดอาการผลักไสคือ ไม่อยากให้เกิด, ไม่อยากให้มี ขึ้นทันที ซึ่งเป็นวิภวตัณหาความไม่อยากอันก่ออุปาทานขึ้นแล้วเป็นอุปาทานขันธ์๕อันเป็นทุกข์จริงๆขึ้นทันที แต่เมื่อมีสติรู้แล้ว เห็นหรือปฏิบัติตามควรแก่เหตุแล้ว ต้องเป็นกลางวางเฉยหรืออุเบกขา กล่าวคือ หยุดการปรุงแต่งไปทั้งทางดีหรือทางชั่วอันจักยังให้เกิดเวทนา อันมักจะหรืออาจจะเป็นปัจจัยให้เกิดทุกข์ในที่สุด
![]()
ตัณหาเป็นปฏิกริยาจิตตอบสนองต่อเวทนา มักอยู่ในรูปคิดปรุงแต่งหรือปปัญจสัญญาคือความคิดที่สลับซับซ้อนเจือด้วยกิเลสตัณหา เหตุที่อยู่ในรูปคิดนึกปรุงแต่งเพราะจักยังให้เกิดเวทนาอันเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหานั่นเอง เกิดอุปาทานซึ่งเป็นสัญเจตนาหรือความคิดอ่านที่ไปปรุงจิตให้เกิดการกระทำต่างๆตามกิเลสตน เป็นตัวกูของกู
![]()
สุขเวทนา อารมณ์สุขก่อให้เกิดความพึงพอใจ และอยากยึดไว้ ทําให้เกิดราคานุสัยความปรารถนาความอยากในทางโลกๆ
ทุกขเวทนา อารมณ์ทุกข์ก่อให้เกิดความไม่พึงพอใจ และ ไม่อยากยึด พยายามผลักไสทําให้เกิด ปฏิฆานุสัย ขุ่นข้อง ขัดเคือง
อทุกขมสุข เกิดเฉยๆหรือ ไม่สุขไม่ทุกข์ ทําให้เกิดอวิชชานุสัย(ไม่รู้ตามความเป็นจริง) อันอาจกลายเป็นทุกข์ขึ้นได้ และมักจักไหลเลื่อนไปเป็นทุกข์ เพราะความที่รู้สึกไม่มีอะไร ดูไม่น่ามีโทษ จึงปล่อยกายปล่อยใจไปกับคิดนึกปรุงแต่งหรือตัณหาปรุงแต่ง หรือความคิดเรื่อยเปื่อยโดยไม่ระวังตัว หรือขาดสติจากความไม่รู้ว่ามันก่อโทษขึ้นได้
ในปฏิจจสมุปบาท จักแนะนําให้รู้เท่าทันที่เวทนา ถ้าไม่เห็นหรือไม่ทันให้สังเกตุจากสังขารขันธ์เช่นใจสั่น กายสั่น อันเป็นกายสังขารอันสังเกตุได้ง่าย และทางกายก็จะเห็นที่เวทนา เช่น เจ็บปวดต่างๆ พอรู้เท่าทันแล้วใช้ไม่ยึดมั่นในเวทนาคือไม่สนใจไม่ให้ค่า และเป็นกลางวางอุเบกขาโดยไม่ปรุงแต่งต่อไปในทางใดๆไม่ว่าดีหรือร้ายต่อความรู้สึกหรืออารมณ์ที่ผัสสะนั้น
![]()
นิพพาน - สุญญตา - ว่าง - ว่างจากทุกข์ - ว่างจากกทุกข์อุปาทาน - ว่างจากกิเลส,ตัณหาแลอุปาทาน - ว่างจากจิตขุ่นมัว,ความอยาก,ไม่อยากแลคววามพึงพอใจ,ยินดียินร้าย
![]()
ความทุกข์ เกิดจากอุปาทาน หรือจิตที่มีความพึงพอใจ,ยินดียินร้ายเกิดร่วม และไม่สามารถตอบสนองความพึงพอใจนั้นได้ อุปาทานมีปัจจัยทําให้เกิดโดยตัณหา ตัณหามีปัจจัยทําให้เกิดโดยเวทนา เพราะไม่รู้เห็นเวทนาตามความเป็นจริงของสภาวะเวทนานั้น
![]()
อุปาทาน เป็นปัจจัยให้มีภพคือการตกลงใจในขณะจิตที่จะเลือกบทบาทหรือภาวะที่จะแสดงออกหรือกระทําหลังจากรับรู้ว่าอุปาทานได้รับการตอบสนองแบบใด ภพแบ่งเป็น
กามภพ คือการกระทําในทางโลกๆชนิดต่างๆเช่นภพของขุ่นเคือง ราคะ โกรธ หลง
หรือกามภพ เป็นการตัดสินใจแสดงหรือกระทําตามบทบาทหรือภาวะที่เลือกเช่นโทโสะก็ลงมือทําร้าย โลภก็ขโมย โมหะความหลงเพราะไม่รู้ตัดสินใจไม่ได้แน่นอนเพราะตัณหาแบบนั้นบ้าง แบบนี้บ้าง เช่นความรู้สึกในทางดีกับความรู้สึกในทางชั่ว ขณะไหนมีกําลังแรงกว่าก็ไปทางนั้น เป็นสุขก็เฉกเช่นเดียวกัน
รูปภพ หมายถึงสังขารขันธ์ที่เกิดในรูปฌาน เช่นภาวะต่างๆของสมาธิ และฌานเช่นปีติ สุข อันเกิดแต่ตัณหา
อรูปภพ หมายถึงสังขารขันธ์ที่เกิดในอรูปฌาน ภาวะต่างๆของอรูปฌาน อันเกิดแต่ตัณหา
สิ่งใดเกิดภพ สิ่งนั้นเป็นทุกข์
![]()
เวทนาเป็นขบวนการรับรู้ขั้นพื้นฐานของชีวิต เป็นการรับรู้สื่อสารระหว่างกาย,จิต,สิ่งแวดล้อมที่กระทบสัมผัสกัน อาจกล่าวได้ว่า รับรู้แล้วจําแนกโดยความจําได้หมายรู้(สัญญา)ที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์และสัญชาติญาณเท่านั้น เป็นขบวนการที่ไม่เกี่ยวกับการปรุงแต่งใดๆ จึงควบคุมบังคับไม่ได้ จึงควรทําความรู้จักเวทนาให้กระจ่างในจิตแล้วจะหมดความยึดมั่นหรือยึดความพึงพอใจในเวทนา(ลดละอุปาทานในเวทนาคือหมดความยึดมั่นพึงพอใจในเวทนา)
วิญญาณ และ สัญญาทั่วไปเป็น "ปริญเญยธรรม" ควรกําหนดรู้ ทําความรู้จักเท่านั้น ไม่มีหน้าที่ที่ จะต้องทําอะไรต่อมันอีก เพราะมันก็ทําหน้าที่ของมันอยู่อย่างนั้นตามสภาวะธรรมของมัน
สัญญาเจือกิเลส หรือปปัญจสัญญา เป็น "ปหาตัพพธรรม" คือเป็นสิ่งที่ควรละหรือกําจัดทิ้ง
สัญญาที่ส่งเสริมพัฒนาความรู้หรือกุศลธรรมเป็น "ภาเวตัพพธรรม "คือสิ่งที่ควรเจริญ ควรทําให้เกิดให้มี และให้เพิ่มพูนจนใช้ประโยชน์ให้บริบูรณ์ เช่นสติและปัญญา
ปัญญาเป็นสัญญาเช่นกันแต่เป็น "ภาเวตัพพธรรม "เช่นกัน ควรอบรมให้เกิดให้มีและเจริญยิ่งจนทําลายโมหะหรืออวิชชาจนหมดสิ้น
สติและปัญญา เป็นสัญญาแต่ก็ทําหน้าที่เป็นสังขารขันธ์ ตามที่เคยกล่าวมาแล้ว
![]()
ตันหา ๑๐๘ ที่กล่าวๆกันว่าตัณหามีร้อยแปดอย่างนั้นมาจาก
ตัณหาอันมี ๓ กามตัณหา, ภวตัณหา, วิภวตัณหา = ๓
ตัณหาอันมี ๖ ใน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ = ๓ X ๖ อย่าง จึงรวมได้ ๑๘
ตัณหาอันมี ๖ ใน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ = ๓ X ๖ อย่าง จึงรวมได้อีก ๑๘
รวมเป็น ๑๘+๑๘ = ๓๖ X กาลทั้ง ๓ คือ อดีต ปัจจุบัน อนาคต = ๑๐๘ อย่าง
ดังนั้นตัณหาจึงมี ๑๐๘ อย่าง มากมายเสียเหลือเกิน ผู้เขียนจึงสรุปออกมาเป็น อาการของจิตทะยานอยาก และไม่อยาก
![]()
ข้อควรระวัง "ตัณหาซ้อนตัณหา "ในหมู่นักปฏิบัติ คือการสร้างตัณหาในทางธรรมหรือตัณหาในการปฏิบัติ หรือกุศลตัณหา ขึ้นซ้อนตัณหาทั่วๆไปหรือตัณหาในทางโลกๆ คือสร้างตัณหาความไม่อยาก ขึ้นซ้อน ตัณหาความอยาก ซึ่งก็เป็นตัณหาทั้งสิ้น ตัณหาดีก็ไม่เอา ตัณหาชั่วก็ไม่เอา ล้วนก่อทุกข์ทั้งสิ้น แต่ถ้าจักต้องกระทําตัณหาฝ่ายดีคือกุศลจิต หรือกุศลตัณหา เพื่อเกื้อกูล ก็จักต้องมีสติรู้เท่าทันจริงๆ มิเช่นนั้นก็จักกลายเป็นทุกข์เช่นกัน
![]()
ความโลภ ความโกรธ ความหลง ราคะ อาฆาต หดหู่ ฟุ้งซ่าน เหล่านี้ล้วนแต่เป็นสังขารขันธ์ชนิดจิตสังขารหรือมโนสังขาร อันก่อเป็นทุกข์อุปาทานเมื่อเกิดขึ้นแล้วให้มีสติรู้แล้วละทันที ให้มีสติรู้ในสังขารขันธ์นั้นหรือ จิตเห็นจิต คือจิตหรือสติเห็นความโลภ โกรธ หลง แต่ต้องละเหตุโดยเด็ดขาดอันคือกิเลสหรือตัณหาอันมักมากับความคิดปรุงแต่งต่างๆนาๆอันยังให้เป็นเหตุเกิดเวทนาอันนี้ต้องละอย่างเด็ดขาด ให้มีสติรู้อยู่แต่จิต(สังขาร) ที่มีโลภ โกรธ หลง หดหู่ ฟุ้งซ่าน ฯลฯ. ว่าเกิด ว่ามี เห็นการเกิด การดับซึ่งเป็นประโยชน์ในการปฏิบัติ ไม่ใช่ไม่ดี แต่ถ้าปรุงแต่งเหตุอีกจักหยุดไม่ได้ จะไหลเลื่อนไปในขบวนการเกิดทุกข์หรือเกิดตัณหาซ้อนตัณหา
![]()
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
เป็นสัจจธรรมที่เที่ยงแท้อยู่เยี่ยงนั้นเอง แต่ในปัจจุบันมีผู้ไม่เห็นเป็นไปเช่นนี้ จึงได้ยินทุภาษิตเป็นไปดังนี้อย่างแพร่หลายคือ ทำดีไม่ได้ดี ทำชั่วได้ดีมีถมไป เป็นเพราะความไม่เข้าใจธรรมหรือเกิดความน้อยเนื้อตํ่าใจ จึงมองเห็นแต่สภาวะความเป็นไปตามความเห็นเข้าใจของตน เช่น เห็นคนทำชั่วแล้วรํ่ารวยมีอำนาจเป็นต้น แต่ตามความเป็นจริงนั้นการทำดีนั้นยังย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว ไม่สามารถแปรผันเป็นอื่นได้เลย กล่าวคือ ย่อมเป็นไปตามผลกรรม(ผลของการกระทำ)นั่นเอง อุปมาดั่ง ปลูกข้าวย่อมได้ข้าว จะได้องุ่น เผือก มัน ย่อมเป็นไปไม่ได้ฉันใด ก็ฉันนั้น เพียงแต่ไม่เห็นตามความเป็นจริงว่า เมื่อปลูกข้าวแล้วย่อมได้ข้าวแต่ไปอยากไปยึดให้มันรวยขายได้ราคาดี ตามความเป็นจริงแล้วเป็นคนละเหตุปัจจัยกัน ย่อมไม่สามารถเนื่องสัมพันธ์กันได้ แต่ด้วยความไม่รู้จึงไม่เห็นตามความเป็นจริง จึงคิดไปยึดเป็นไปดังนั้นเอง กล่าวคือ ไปมองเห็นหรือเข้าใจว่าทำดีแล้วไม่รวย หรือทำไมทำดีแล้วยังมีเหตุแห่งทุกข์มากระทบอีก หรือคนทำชั่วทำไมถึงรวย คือไปมองในมุมมองที่ผิดไม่ได้เป็นเหตุเป็นผลกัน มองตามความเห็นความเข้าใจของตนจึงเอาไปคิดว่าเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันด้วยความไม่รู้หรืออวิชชานั่นเอง และเพราะว่าวิบากกรรม(ผลที่ได้รับจากการกระทำ)เป็นอจินไตย ไม่สามารถระบุเฉพาะเจาะจงให้เป็นสูตรตายตัวได้เท่านั้นเอง ผลกรรมนั้นจึงเพียงไปแสดงออกในรูปอื่นโดยไม่รู้เท่านั้นเอง ดังนั้นจึงอย่าท้อแท้ด้วยมิจฉาทิฏฐิ เพราะว่าทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว นั้นเป็นสภาวะธรรมอันเที่ยงแท้แน่นอนเป็นที่สุด และเกิดขึ้นแก่จิต ณ ขณะนั้นโดยทันทีด้วยเช่นกัน
![]()
ความไม่เที่ยง มีความเที่ยงเป็นธรรมดา
มิได้มีความขัดแย้งในธรรมกันแต่ประการใด ความไม่เที่ยง มีความหมายถึง สังขารสิ่งปรุงแต่งทั้งหลายทั้งปวงมีความไม่เที่ยงเป็นธรรมดาตามกฎพระไตรลักษณ์ ส่วนความเที่ยงนั้นหมายถึงอสังขตธรรมหรือสภาวะธรรม หมายถึง เป็นไปตามธรรมชาติ หรือมันต้องเป็นไปเช่นนี้เอง(ตถาตา) หรือเที่ยงแท้แน่นอน
ดังเช่นความตาย เมื่อกล่าวถึงความตายอันเป็นสภาวธรรมหรือธรรมชาตินั้น ย่อมมีความเที่ยงและคงทนอยู่อย่างนี้ในผู้มีชีวิตเป็นธรรมดา แต่เมื่อพูดถึงสังขารชีวิตที่ได้เกิดขึ้นมาแล้วย่อมมีความไม่เที่ยง ไม่สามารถคงทนอยู่ได้ ไม่รู้ว่าจะตายแต่เมื่อไร
![]()
สังขาร
สังขาร คือ สิ่งปรุงแต่ง หรือสิ่งที่ถูกปัจจัยปรุงแต่งขึ้น กล่าวคือ สิ่งอันเกิดขึ้นจากการที่มีเหตุต่างๆ มาเป็นปัจจัยปรุงแต่งกันขึ้นมา จึงครอบคลุมแทบทุกสรรพสิ่ง ยกเว้นแต่เพียงอสังขตธรรมเท่านั้น, เมื่อโยนิโสมนสิการโดยแยบคาย จักพึงเห็นได้ว่า มิได้เกิดแต่เหตุหรือสิ่งๆเดียว แต่มีเหตุหรือสิ่งต่างๆมากกว่าหนึ่งขึ้นไปมาประชุมปรุงแต่งกัน จึงมิใช่สิ่งๆเดียวกันโดยแท้จริง แต่มีสิ่งหรือเหตุต่างๆมาประชุมหรือมาประกอบกันขึ้น และด้วยเหตุนี้เอง ว่ามิใช่สิ่งๆเดียวกันอย่างแท้จริง จึงมีความไม่เสถียร เพราะย่อมมีแรงบีบเค้นหรือแรงผลักดันระหว่างกันอันเป็นไปโดยธรรมหรือธรรมชาติ เพื่อคืนสู่สภาวะธรรมหรือธรรมชาติเดิมๆก่อนการปรุงแต่งกันนั่นเอง จึงเกิดอาการแปรปรวน ทรงตัวอยู่ไม่ได้ขึ้น คือจึงไม่เที่ยงเป็นธรรมดา(อนิจจัง) จึงไม่สามารถควบคุมบังคับให้คงที่คงทนได้อย่างถาวรตลอดไป เมื่อไม่เที่ยงแปรปรวนไปเป็นธรรมดาอยู่เยี่ยงนั้นตลอดเวลา จนย่อมถึงที่สุดแห่งการแปรปรวนเสื่อมถอย จนมาถึงสภาพสุดท้ายของการแปรปรวนที่ต้องดับไปเป็นธรรมดา(ทุกขัง) ซึ่งจักก่อให้เป็นทุกข์แก่ผู้ที่อยากด้วยตัณหา หรือไปยึดมั่นไว้ด้วยอุปาทาน เพราะความที่ต้องแปรปรวนและต้องดับไปเป็นที่สุดเป็นธรรมดา และต่างล้วนเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวใช่ตน,ไม่มีตัวตน ที่เป็นแก่นแกนหรือแก่นสาระอย่างแท้จริง เพราะความที่ล้วนเกิดจากการประชุมปรุงแต่งกันของสิ่งต่างๆที่มิใช่สิ่งเดียวกัน จึงไม่สามารถคงสภาพตัวตนนั้นๆไว้ได้อย่างถาวรเที่ยงแท้ เพราะเมื่อเหตุต่างๆอันมาประชุมปรุงแต่งกันนั้นมีอาการแปรปรวนและเสื่อมถอยจนดับไปด้วยเหตุอันใดก็ดี สิ่งนั้นๆหรือตัวตนนั้นๆจึงย่อมดับไปไ ม่มีความเป็นตัวตนหรือสิ่งนั้นๆอยู่อีกต่อไป จึงกล่าวว่า ไม่มีแก่นแกนหรือแก่นสาระ อย่างแท้จริง ตัวตนหรือสังขารนั้นๆ จึงอิงหรือขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย ที่มาประชุมปรุงแต่งกันนั่นเอง จึงไม่ได้ขึ้นกับตัวตนหรือเป็นของตัวตนแต่อย่างใด
![]()
ข้อน่าสังเกตุเวลาพิจารณาธรรมเรื่องสังขารหรือธรรมในพระไตรลักษณะ สังขารเท่านั้นที่อยู่ภายใต้กฏพระไตรลักษณ์ทั้ง๓ ที่ไม่เที่ยง(อนิจจัง) ทนอยู่ไม่ได้เป็นทุกข์(ทุกขัง) และอนัตตา, ส่วนธรรม,สภาวะธรรมหรือธรรมชาตินั้น อยู่ภายใต้กฏพระไตรลักษณ์เพียงข้อเดียว คือ อนัตตา คือไม่มีตัวตนเป็นแก่นแกนอย่างแท้จริง แต่ธรรมหรือธรรมชาติทั้งหลายนั้นเที่ยง จึงคงทนอยู่เยี่ยงนั้นเอง
![]()
โดยทั่วไปแล้วถ้าเราไปหาหมอเพื่อขอคำแนะปรึกษาว่า ควรรับประทานอาหารอะไร หมอทุกๆคนย่อมแนะนำโดยหลักพื้นฐานทั่วไป คือให้รับประทานอาหารครบทุกหมู่อย่างแน่นอน แต่ควรมีความเข้าใจด้วยว่าคำแนะนำนั้น ย่อมหมายถึงคนโดยปกติทั่วๆไป ย่อมมิได้หมายครอบคลุมถึงผู้ป่วยบางโรค ที่อาจต้องยกเว้นอาหารบางหมู่บางชนิดลง เพื่อประกอบการรักษา ในกรณีเดียวกันกับการปฏิบัติ โดยทั่วไปก็มักไปกราบไหว้หลวงปู่หลวงพ่อครูบาอาจารย์ ตลอดจนศึกษาจากการอ่านตามสื่อต่างๆ เพื่อขอคำแนะแนวในการปฏิบัติ ทุกท่านทุกองค์ย่อมแนะให้เจริญในศีล สมาธิ และปัญญา อันเป็นพื้นฐานสำคัญในการปฏิบัติ แต่การปฏิบัติสมถสมาธิและการบริกรรมแม้เป็นสิ่งที่ดีที่สมควรปฏิบัติแก่นักปฏิบัติโดยทั่วไป แต่ในนักปฏิบัติบางท่าน เช่น มีอาการทางจิต หรือติดสุขหรือองค์ฌานต่างๆนั้น ก็ต้องละเว้นเป็นการชั่วคราวเช่นเดียวกันกับผู้ป่วยที่พึงต้องละเว้นอาหารบางชนิดเป็นธรรมดา จนกว่าจะแก้ไขอาการต่างๆให้ดีขึ้น จึงพึงควรเจริญปัญญาแต่ฝ่ายเดียวไปก่อน.....
![]()
พระไตรลักษณ์
เพราะไม่เที่ยง เมื่อไม่เป็นไปตามปรารถนา จึงเป็นทุกข์
เพราะคงทนอยู่ไม่ได้ เมื่อไม่เป็นไปตามปรารถนา จึงเป็นทุกข์
เพราะไม่มีตัวตนเป็นแก่นแกนแท้จริง เกิดแต่เหตุปัจจัย จึงควบคุมบังคับให้เป็นไปตามปรารถนาไม่ได้ จึงเป็นทุกข์
ทั้งไม่เที่ยง ทั้งคงสภาพทนอยู่ไม่ได้ ทั้งไม่มีแก่นแกนถาวรอย่างแท้จริง ดังนั้นถ้าไปอยากหรือไปยึดว่าเป็นของตัวของตน ย่อมเกิดอุปาทานทุกข์อันเผาลนเร่าร้อนอย่างแน่นอน
![]()
ปฏิจฺจสมุปฺบาท
ปฏิจฺจสมุปฺบาท เป็นกระบวนธรรมทางวิทยาศาสตร์ขั้นสูงสุดทางนามธรรม(จิต) ที่โลกนี้จักพึงบังเกิด, พึงมี ควรศึกษาใคร่ครวญให้ละเอียดลึกซึ้ง เพราะเป็นวิทยาศาสตร์ขั้นสูงสุดแต่พึงพิสูจน์ได้ด้วยตนเองเท่านั้น สมดังคํากล่าว
ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญฺญูหิ
(ธรรมอันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน)
![]()
คติธรรม
|
|
จิตมีเวทนาแล้ว ปรุงแต่งตัณหาขึ้น เป็นเหตุ |
เป็นสมุทัย เหตุแห่งทุกข์ |
|
|
|
ผลของจิตมีเวทนาแล้ว ปรุงแต่งตัณหาขึ้น |
เป็นอุปาทานขันธ์๕ อันเป็นทุกข์ |
|
|
|
สติเห็นกาย,เวทนา,จิตหรือธรรมเป็นเหตุ |
เป็นมรรค ปฏิบัติ |
|
|
|
ผลของสติเห็นกาย,เวทนา,จิต,ธรรม |
เป็นนิโรธ อันพ้นทุกข์ |
(พนมพร คูภิรมย์)
คติธรรมนี้รวบรวมแก่นธรรมอันสําคัญยิ่งทางพุทธศาสนา
อันเมื่อบริกรรม ท่องบ่น เพื่อเป็นเครื่องรู้ เครื่องระลึก เครื่องเตือนสติ เครื่องพิจารณา ก็ควรมีความเข้าใจในธรรมเหล่านี้ด้วย อันมี
|
แสดงธรรมอิทัปปัจจยตาที่ว่า เพราะเหตุนี้มี ผลเหล่านี้จึงเกิดขึ้น |
|
|
เวทนาเป็นปัจจัยจึงมีตัณหา หมายถึงเมื่อเกิดเวทนาขึ้นอันเป็นสภาวธรรมของชีวิตที่ย่อมเกิดขึ้นรับเสวยอารมณ์ของสิ่งที่ผัสสะ แล้วอาจเกิดตัณหาความทะยานอยากหรือความไม่อยาก ต่อจากเวทนาที่เกิดขึ้นเหล่านั้น เพราะตัณหาจึงเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดอุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่นให้เป็นไปตามกิเลสตนเป็นสำคัญ จึงเกิดเป็นความทุกข์อันเร่าร้อนและยาวนานขึ้น สังขาร อันเกิด จาก อาสวะกิเลสและอวิชชา เป็นปัจจัยให้เกิด ทุกข์ (อ่านรายละเอียดใน ปฏิจจสมุปบาท) |
|
|
อริยสัจ : |
อันมี ทุกข์อริยสัจ และทุกข์อุปาทานอันเป็นทุกข์ สมุทัยคือเหตุแห่งทุกข์, นิโรธคือการพ้นทุกข์ มรรคคือทางปฏิบัติให้พ้นไปจากทุกข์ |
|
ทางสายเอกในการปฏิบัติ อันควรปฏิบัติในการดำเนินชีวิตประจำวัน สติเห็นธรรมใดก่อนปฏิบัติธรรมนั้น
แล้วเป็นกลางวางทีเฉย(อุเบกขา)โดยการไม่เอนเอียงไปคิดนึกปรุงแต่งทั้งทางดีหรือชั่ว อันหมายถึงไม่ยึดมั่นถือมั่นใดๆ กล่าวคือไม่ไปยึดทั้งในด้านดี(กุศล)หรือด้านร้าย(อกุศล)ในเรื่องนั้นๆ อันต่างล้วนเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนา อันอาจเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา อันยังให้เกิดทุกข์ในที่สุดโดยไม่รู้ตัว |
"ทุกข์ของขันธ์๕ทางกายและใจ(ทั้งเวทนาและสังขารขันธ์) นั้นเป็นสภาวธรรมหรือธรรมชาติ ยังคงมีอยู่ แต่ไม่มี "อุปาทานทุกข์ "
จริงๆแล้วที่มนุษย์ทั้งหลายเป็นทุกข์กันอยู่ทุกขณะก็คือ "อุปาทานทุกข์ "นี้นั่นเอง แต่ไม่รู้จึงจําแนกไม่ออก
![]()
ความคิด ความนึกแต่อดีตที่ผุดขึ้น อีกทั้งจากการผัสสะสิ่งเร้าจึงผุดขึ้น นั่นแหละอาจเป็นสมุทัยเหตุแห่งทุกข์
การมีสติระลึกรู้เท่าทันความคิดหรือความนึกที่ผุดขึ้น อีกทั้งเวทนาจากผัสสะในสิ่งเร้า นั่นแหละมรรคปฏิบัติ
![]()
หลักการปฏิบัติแนวทางเวทนา
๑.อัน สุขเวทนา ถูกต้อง(กระทบ)แล้ว ย่อมไม่เพลิดเพลิน ไม่พูดถึง ไม่ดำรงอยู่ด้วยความติดใจ แล้วอุเบกขา
๒.อัน ทุกขเวทนา ถูกต้องแล้ว ไม่เศร้าโศก ไม่ลำบาก ไม่ร่ำไห้ ไม่คร่ำครวญตีอกชกหัว ไม่ถึงความหลง(โมหะ) แล้วอุเบกขา
๓.อัน อทุกขมสุขเวทนา ถูกต้องแล้ว ย่อมทราบชัดความตั้งขึ้น(เกิด) ความดับไป คุณ โทษ และที่สลัดออกแห่งเวทนานั้น ตามความเป็นจริง จึงไม่ฟุ้งซ่านปรุงแต่งไปเปิดโอกาสให้เกิดเวทนาต่างๆขึ้นอีก แล้วอุเบกขาเช่นกัน
อุเบกขา ด้วยเวทนาทั้งหลายก็ย่อมยังให้เกิดสังขารขันธ์ต่างๆในที่สุด เมื่ออุเบกขาเสียแล้ว ก็ย่อมไม่เกิดเวทนาต่างๆอีกทั้งสังขารขันธ์อีกด้วย ไม่ให้เนื่องสัมพันธ์ต่อไปอีก
เวทนา สักว่าเวทนา มันเกิดขึ้นเช่นนี้เองตามธรรม เมื่อมีการผัสสะ โดยการพิจารณาการเกิด การดับ ฯ.
![]()
รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ แม้ชีวิตและสังขารทั้งปวง ต่างล้วนเป็นอนัตตา จึงไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เพราะความที่ไม่มีตัวตน ของตนเองจริง แท้จริงแล้วจึงไม่สามารถไปบังคับบัญชาหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขใดๆให้เป็นไปตามใจปรารถนาได้เลย เพราะมันเป็นไปตามเหตุปัจจัย (จึงเพียงสามารถแค่แก้ไขที่เหตุปัจจัยบางอย่างบางประการได้บ้างบางส่วนเท่านั้นเอง) ดังนั้นมันจึงเป็นเช่นนี้เอง แต่ปุถุชนมักไปคิดหรือคาดหวังว่าสามารถเปลี่ยนแปลงได้ในบางสิ่งบางอย่างให้เป็นไปตามความปรารถนาของตัวตนได้ด้วยอุปาทาน ดังนั้น เราจึงมีหน้าที่เพียงแต่มีสติรู้เท่าทัน และประกอบด้วยปัญญาญาณว่า มันเป็นเช่นนี้เองตามสภาพธรรมคือธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ จึงไม่เป็นอื่น จึงเกิดการปล่อยวางไม่ยึดถือได้ด้วยปัญญาญาณ อันเป็นการดับตัณหานั่นเอง ด้วยสักว่ามันต้องเป็นเช่นนี้เอง อีกทั้งอุเบกขาไม่แทรกแซงเข้าไปปรุงแต่ง
![]()
จิต เมื่อไปอยู่กับกาย๑ ดังสังเกตุลมหายใจ สังเกตุอิริยาบถการเคลื่อนไหว การพิจารณากายไม่เที่ยง เป้นปฏิกุล ฯ. ฯ. (ใช้คำว่าสังเกตุเพราะไม่ได้หมายถึงการไปนั่งสมาธิปฏิบัติแต่หมายถึง ปฏิบัติในขณะดำเนินชีวิตประจำวัน)
หรือการที่ จิตไปอยู่กับเวทนา๑ คือการมีสติรู้เท่าทันเวทนา หรือสติหรือจิตคิดพิจารณาในเวทนา เช่นการเกิด การดับของเวทนา ฯ.
หรือการที่ จิตไปอยู่กับจิต๑ จิตแรกที่หมายถึงสติ ส่วนจิตตัวหลังหมายถึงสังขารขันธ์ต่างๆ จึงหมายถึงอารมณ์ในทางโลกต่างๆ อีกทั้งมโนกรรมความคิดนึกต่างๆอันเป็นผลมาจากสังขารขันธ์(อารมณ์)ที่ทำให้เกิดการคิดอ่านคือความคิดนึกต่างๆขึ้น จึงหมายถึงการมี จิตหรือสติรู้เท่าทันจิตคือสังขารขันธ์ หรือการที่จิตอยู่ในการพิจารณาการเกิด การดับ ฯ. ของจิตหรือสังขารขันธ์ต่างๆ
หรือการที่ จิตอยู่ในธรรม๑ คือมีสติพิจารณาในธรรม คำสอนอันมีประโยชน์ต่างๆ เช่น นิวรณ์ ๕ ขันธ์ ๕ ปฏิจจสมุปบาท พระไตรลักษณ์ ฯ. ให้เห็นความจริงอันเป็นไปตามหลักเหตุและผล
เมื่อจิตคือสติไปอยู่ในธรรมทั้ง ๔ คือ กาย๑ เวทนา๑ จิต๑ ธรรม๑ ดังข้างต้น เมื่อนั้นจิตย่อมระงับความดำริพล่านลงไป ไม่ฟุ้งซ่านปรุงแต่งออกไปในเรื่องต่างๆ อีกทั้งถ้าประกอบด้วยความเพียร ย่อมเป็นการดำเนินไปในสัมโพชฌงค์ทั้ง ๗ อีกด้วย โดยเฉพาะ สติสัมโพชฌงค์...สมาธิสัมโพชฌงค์ อีกทั้งเมื่อเกิดปัญญาพละย่อมยังให้เกิดอุเบกขาสัมโพชฌงค์อย่างมีกำลังเป็นที่สุด
![]()
จำไว้ให้แม่น แม้จิตมีสติระลึกรู้เท่าทันจิต ต้องเท่าทัน ไม่ใช่รู้ตาม แล้วจิตตั้งมั่น อุเบกขา ไม่รับแขกที่ไม่ได้เชิญ(มโนกรรม)คือความคิดนึกที่เกิดขึ้นจากอารมณ์ต่างๆ(มโนกรรม)ที่เล็งเห็นว่าให้โทษ เข้าประตูบ้าน จึงได้ผล
![]()
เมื่อปฏิบัติถูกต้อง แม้เหตุแห่งทุกข์นั้นมีอยู่ ทุกข์จึงคงมีอยู่ แต่ไม่มีผู้รับทุกข์ที่ประกอบด้วยอุปาทานหรืออุปาทานขันธ์ ๕ อันเป็นทุกข์แท้จริง