ทำไม หยุดคิดปรุงแต่ง จึงเป็นหัวใจสำคัญในการปฏิบัติของนิกายเซ็น |
|
(อันเนื่องมาจาก คำสอนของฮวงโป)
หยุดคิดปรุงแต่ง เป็นคำสอนและหลักปฏิบัติที่ถือเป็นหัวใจของนิกายเซ็น
เซ็นกล่าวว่าการ"หยุดคิดปรุงแต่ง"สามารถทำให้บรรลุธรรมหรือตรัสรู้ได้โดยฉับพลันทีเดียว
ซึ่งเปรียบเทียบกับฝ่ายเถรวาทของไทยนั้น"คิดปรุงแต่ง
ก็หมายถึง "อุทธัจจะ"คิดฟุ้งซ่านนั่นเอง จึงหมายถึงการหยุดความคิดฟุ้งซ่าน
หรือหยุดความคิดนึกปรุงแต่งนั่นเอง
ซึ่งจัดเป็นสังโยชน์ข้อที่
๙ ที่ผูกมัดสัตว์ไว้กับทุกข์ รองจากเพียงอวิชชาเท่านั้น จึงมีความสำคัญยิ่งตรงกัน อีกทั้งการหยุดการ"อุทธธัจจะ"หรือการ"คิดนึกปรุงแต่ง"ลงไป
ซึ่งแท้จริงแล้วก็คืออาการเดียวกันของการ"อุเบกขาสัมโพชฌงค์"
คือการวางใจเป็นกลาง วางใจเฉย รู้สึกอย่างใดก็อย่างนั้นตามความเป็นจริงของธรรม
แต่ไม่เอนเอียงแทรกแซงเข้าไปปรุงแต่งด้วยถ้อยคิด(ความคิดนึก)หรือกริยาจิตใดๆในกิจนั้น
ก็คือการหยุดคิดปรุงแต่งเช่นเดียวกันนั่นเอง แท้จริงแล้วทั้งสองก็คือสิ่งที่มีจุดหมายเดียวกัน ซึ่งอุเบกขาสัมโพชฌงค์เป็นธรรมองค์สุดท้ายของการตรัสรู้
ในสัมโพชฌงค์ ๗ อีกทั้งเมื่อพรั่งพร้อมด้วยความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง
จึงเป็นการกำจัดอวิชชา(สังโยชน์ ข้อ ๑๐)ลงไปด้วยในคราเดียวกัน จึงเกิดการตรัสรู้โดยพลันขึ้นได้ ดังที่ทางนิกายเซ็นกล่าวถึง อีกทั้งความจริงแล้วก็เป็นแนวทางดียวกับการปฏิบัติจิตตานุปัสสนาในสติปัฏฐาน
๔ นั่นเอง คือจิตหรือสติเห็นสังขารขันธ์ที่ยังให้เกิดความคิดต่างๆ(มโนกรรม)นั่นเองแล้วไม่ยึดถือคือปล่อยวางหรือหยุดเสียนั่นเอง ดังนั้นในการปฏิบัติ"หยุดคิดปรุงแต่ง"นั้น จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่ต้องจำแนกแตกธรรมให้เข้าใจแจ่มแจ้งถูกต้องถูกตัว
อีกทั้งมีสติระลึกรู้เท่าทันว่า อะไรคือการคิดปรุงแต่งหรืออุทธัจจะ? และอะไรคือความคิดนึกชนิดธรรมารมณ์ที่เป็นความคิดนึกที่จำเป็นในการดำเนินชีวิตเสียด้วย?
จึงไม่ใช่การหยุดคิดหยุดนึกเสียดื้อๆด้วยเป็นโทษ และจึงไม่ใช่ความเข้าใจเพียงพอแค่รู้คร่าวๆ
หรือพอสังเขปในใจอีกต่อไป, เมื่อปฏิบัติได้ผลย่อมบรรลุธรรม หรืออย่างน้อยที่สุดก็ย่อมดับทุกข์ได้ตามควรแห่งฐานะตน
อีกทั้งจะเห็นว่า"จิตปรุงกิเลส"
ดังนั้นการ"หยุดคิดปรุงแต่ง" หรือการ"อุเบกขาสัมโพชฌงค์" จึงเป็นองค์สุดท้ายของการปฏิบัติหรือตรัสรู้
ดังนั้นเมื่อพิจารณาจากคำสอนของนิกายเซ็นกับฝ่ายเถรวาทของไทย จะเห็นได้ว่าสอดคล้องกันอย่างลงตัว จึงเป็นที่สุดของการปฏิบัติ
ความคิดนึกธรรมารมณ์ ได้แก่ความคิดนึกทั่วๆไป ที่ดำเนินในชีวิตประจำวัน เช่น คิดในกิจ คิดในการงาน คิดนึกถึงสิ่งที่หลงสิ่งที่ลืม คิดถึงเรื่องทุกข์ คิดถึงอดีต ฯลฯ. สารพัดคิด มักเป็นความคิดแรกที่เกิดขึ้นมาในช่วงขณะหนึ่งๆ ดังเช่น คิดเรื่องทุกข์ในแวบแรก คิดเรื่องต่างๆในชีวิต คิดถึงคนนั้น คิดถึงคนนี้ คิดถึงเรื่องนั้น คิดถึงเรื่องนี้ ฯลฯ. สารพัดความคิดนึกต่างๆของชีวิต ที่สามารถผุดคิด ผุดนึกได้ด้วยสาเหตุต่างๆนาๆประการ ซึ่งพึงต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดาของชีวิต ความคิดนึกเหล่านี้ถือว่าเป็นความคิดนึกสามัญตามวิสัยชีวิต ตามวิสัยโลก เรียกกันทั่วไปว่า "ธรรมารมณ์" คือสิ่งที่รู้ คือรับรู้ได้ด้วยใจนั่นเอง, ซึ่งถ้าไม่มีเสียก็ดำเนินชีวิตต่อไปในโลกไม่ได้เลยทีเดียว ความคิดนึกธรรมารมณ์เหล่านี้ ทำหน้าที่เป็นฝ่ายเหตุร่วมกับขันธ์ทั้ง ๕ เมื่อมีเหตุแล้ว จึงย่อมเกิดผลขึ้น คือดำเนินไปตามกระบวนธรรมของจิตโดยขันธ์ทั้ง ๕ อันเป็นไปตามหลักอิทัปปัจจยตา
ส่วนความคิดปรุงแต่ง ความคิดนึกปรุงแต่ง ความคิดฟุ้งซ่าน คิดนึกฟุ้งซ่าน แม้เป็นความคิดนึกเหมือนกัน รับรู้ได้ด้วยใจเช่นกัน แต่เป็นความคิดนึกที่เป็นฝ่ายผลที่เกิดขึ้นจากกระบวนธรรมในการทำงานประสานสัมพันธ์กันกับขันธ์ทั้ง ๕ ร่วมด้วยกับเหตุ คือรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และธรรมารมณ์ ที่กระทบ ดังนั้นเหตุเกิดจึงเนื่องไได้จากทุกอายตนะ คือเมื่อเกิดจากการกระทบกับอารมณ์(สิ่งที่จิตกำหนด คือ รูป เสียง กลิ่น...ธรรมารมณ์)ต่างๆแล้ว จึงย่อมดำเนินไปตามธรรมชาติ ที่ทำงานดุจดั่งเครื่องจักรยนต์ หรือลูกศรที่หลุดจากแล่ง ที่ย่อมควบคุมบังคับไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เพียงได้แต่การทำงานตามหน้าที่ของตนนั้นๆเท่านั้น, จึงเกิดการผัสสะ เกิดเวทนา เกิดสัญญา และเกิดสังขารขันธ์อันคืออารมณ์ต่างๆทางโลกขึ้น เป็นธรรมดาตามวิสัยของชีวิต, แล้วผลของกระบวนธรรมของขันธ์ทั้ง ๕ นี้คือ สังขารขันธ์หรืออารมณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นนี้ ยังดำเนินไปคือเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดสัญเจตนา คือความคิดอ่านที่ปรุงจิต ให้เกิดการกระทำต่างๆคือกรรม ได้ทั้งดี ชั่ว และกลางๆ ออกมาได้ทั้งทางกาย วาจา ใจ, ทางใจนี้นี่เอง ที่เรียกกันว่ามโนกรรม ซึ่งก็คือความคิดนึกที่เป็นผลที่เกิดขึ้นจากสังขารขันธ์(อารมณ์ทางโลก)ต่างๆ จึงเกิดการคิดนึกมโนกรรมขึ้นจากกระบวนธรรมของชีวิตคือขันธ์ทั้ง ๕ ดังภาพ
ธรรมารมณ์(คิดอันเป็นเหตุ) |
ความคิดนึกมโนกรรม นี้นี่เอง ที่เกิดขึ้นจากการไม่รู้ตามความเป็นจริงหรืออวิชา จึงมักไปทำหน้าที่ให้เกิดความคิดความนึกขึ้นในรูปต่างๆเรื่อยไป ด้วยอำนาจของความไม่รู้ เข้าใจไปว่าไม่เป็นทุกข์โทษภัย ผสมกับอานาจของสิ่งแวดล้อมปรุงแต่งอยู่ จึงเกิดเป็นความคิดนึกต่างๆนาๆตามมา ซึ่งสามารถแปรไปทำหน้าที่เป็นธรรมารมณ์ได้อีกเรื่อยๆ ทำให้เกิดการผัสสะเนื่องต่อไปเรื่อยๆ ซึ่งเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดการวนเวียนปรุงแต่งจนเป็นทุกข์, ความคิดนึกมโนกรรมนี้นี่เองจึงเป็นที่เกิดของความคิดปรุงแต่ง ที่ต้องมีสติรู้เท่าทัน แล้วหยุดมันเสีย คือหยุดคิดปรุงแต่ง หรือก็คือการอุเบกขานั่นเอง
ส่วนการคิดนึกมโนกรรม ที่เกี่ยวกับกิจ เกี่ยวกับการงาน คือไม่ใช่อกุศลมโนกรรมก็ยังคงให้มีอยู่ เพื่อประโยชน์ในการสร้างสรรค์ และปัญญา ดังเช่น ธรรมวิจยะ กล่าวคือมีสติเท่าทันในอกุศลมโนกรรม แล้วอุเบกขาเสีย
หรือกล่าวให้ชัดแจ้งกระชับลงไปอีกได้ว่า "หยุดคิดปรุงแต่ง"ก็คือ"หยุดมโนกรรมปรุงแต่ง"ฝ่ายอกุศลเสียนั่นเอง
คิด
หรือ ธรรมารมณ์ (คิดที่เป็นเหตุ
เมื่อเกิดแล้วย่อมดำเนินไปตามเหตุ) +
ใจ หยุด สังขารขันธ์ จึงเกิดมโนกรรม(เกิดคิดที่เป็นผล
แม้ต้องรับผล
ไม่สามารถดับได้ แต่อุเบกขาได้ จึงไม่ไปเป็นเหตุอีกได้)
|
อนึ่งครูบาของเซ็นได้กล่าวสอนไว้ด้วยว่า เมื่อปฏิบัติดั่งนี้ได้แล้ว ก็อย่าไปคาดหวังด้วยปรุงแต่งไปว่าจะมีอะไร เพราะว่าจะไม่มีการเกิดปรากฏการณ์ใดๆขึ้นตามที่บางท่านคาดหวังไว้ ดังที่ท่านได้กล่าวไว้เนื่องจาก "ก็ไม่มีอะไรต้องบรรลุถึง" "ไม่มีอะไรต้องปรากฏ" เพราะมักคิดปรุงแต่งกันไปตามความเชื่อในตำนานที่มีผู้เล่าขานถ่ายทอดหรือปรุงแต่งกันสืบต่อๆมาอย่างบุคคลาธิษฐานจึงเข้าใจผิด หรือตามคำร่ำลือกันผิดๆไปต่างๆนาๆ เพียงแต่เมื่อท่านปฏิบัติได้แม้ชั่วขณะหนึ่งๆด้วยตนเอง ก็จะรู้สึกและเข้าใจได้ด้วยตนเอง(ไม่ใช่ต้องให้มีใครบอก)ว่า จางคลายจากทุกข์ หรือดับทุกข์ได้ด้วยตนเองจริง และย่อมมีความผ่อนกายใจ(ปัสสัทธิ) เพราะจิตพุทธะที่แสวงหานั้น แท้จริงแล้ว ไม่ต้องแสวงหาจากภายนอก แต่อยู่กับตัวนักปฏิบัติเองอยู่แล้ว แต่ถูกบดบังเสียด้วยกิเลสต่างๆจากการคิดปรุงแต่งนั่นเอง
ปัญหาใหญ่ของการปฏิบัติโดยการ "หยุดคิดปรุงแต่ง" หรือ "อุทธัทจะ"ให้ได้นี้ ทางเซ็นท่านถือว่าศิลปะหรือวิชาทีเดียวที่จะ"หยุดคิดปรุงแต่งเยี่ยงไร" คือ จะคิดถึงการไม่คิดได้อย่างไร โดยปราศจากการคิด เพราะจิตของผู้ปฏิบัติมักมีความเคยชินตามที่ได้สั่งสมอบรมมาตั้งแต่เกิดในการคิดนึกปรุงแต่งอยู่ตลอดเวลา ไม่เคยหัดควบคุมบังคับ จึงเกิดการวอกแวก เอ๊ อ๊ะ คิดนึกไปต่างๆนาๆเรื่อยไปอยู่เกือบตลอดเวลา ไวเหมือนลิงเหมือนวอกจึงควบคุมได้ยาก ซึ่งทางเซ็นใช้วิธี"ซาเซ็น(Zazen)"คือการนั่งสมาธิแบบเซ็น เพื่อนำไปใช้ในการพิจารณาให้เห็นความคิด อีกทั้ง"อะไรคือความคิดปรุงแต่ง" (หรือดังที่หลวงปู่ดูลย์ อตุโลได้บันทึกไว้ใน "วิธีเจริญจิตภาวนา") หรืออีกวิธีหนึ่ง ก็คือการใช้ปัญญาไปในการโยนิโสมนสิการขบคิดพิจารณาให้เห็นเข้าใจกระบวนธรรมของขันธ์ ๕ ที่ความคิดนึกนั้นทำหน้าที่เป็นทั้งเหตุก่อ และอีกทั้งทำให้เกิดผลคือเกิดความคิดนึกมโนกรรมต่างๆ เมื่อเข้าใจจึงเกิดปัญญาพละ จึงมีกำลังเมื่อมีปัญญาญาณแจ่มแจ้งชัดเจนบังเกิดขึ้นแก่ตนว่า สิ่งใดคือความคิดชนิดธรรมารมณ์ สิ่งใดคือความคิดปรุงแต่ง(อุทธัทจะ) ดังแสดงมาข้างต้น จึงทำให้เกิดวิชชารู้ว่า ความคิดนึกชนิดใด เป็นธรรมารมณ์ หรือคิดปรุงแต่ง เมื่อรู้ชัด อีกทั้งปัญญาพละจึงมีกำลังกำหนดหยุด คืออุเบกขาเขาได้ อย่างถูกต้องตรงตัว เมื่อนำมาปฏิบัติการหยุดเขาได้อย่างถูกต้องตรงตัวแล้ว จึงย่อมเกิดผลอันยิ่งขึ้น
เมื่อจำแนกแยกแยะได้ชัดเจนดีแล้ว จึง"หยุดคิดปรุงแต่ง" ในชีวิตประจำวัน ใหม่ๆก็ย่อมช้าบ้าง ทันบ้าง ไม่ทันบ้าง รู้ตามบ้าง รู้ภายหลังบ้าง ฯ. หรือเพราะมัวคิดปรุงแต่งที่จะหยุดมันบ้าง เป็นธรรมดา แต่เมื่อมีความเชี่ยวชาญชำนาญยิ่งพร้อมทั้งความเข้าใจที่ย่อมแจ่มแจ้งขึ้นไปเป็นลำดับจากการปฏิบัติจนพบปัญหาต่างๆด้วยตนเองแล้วนั้น ย่อมทำให้เกิดการ"หยุดคิดปรุงแต่ง"อย่างฉับพลันได้ในที่สุด เหมือนดั่งจำได้ในแม่สูตรคูณ หรือเหมือนดั่วตาเห็นรูปที่ย่อมต้องรู้แจ้งในรูปนั้นเป็นธรรมดา, เมื่อแจ่มแจ้งแยกแยะได้ดีแล้วก็อย่าอ้อยอิ่ง ให้จิตหลอกล่อไปคิดนึกปรุงแต่งอีกต่อไปนั่นเอง จึงเกิดผลยิ่ง, อนึ่งการปฏิบัติธรรมวิจยะคือการคิดนึกพิจารณาในธรรมโดยละเอียดและแยบคาย ไม่ใช่การคิดปรุงแต่ง เพราะมโนกรรมที่เกิดขึ้นเนื่องนั้นเป็นกุศลมโนกรรม ส่งเสริมให้เกิดปัญญาญาณ จึงเป็นสิ่งที่ควรปฏิบัติยิ่ง และเป็นสัมโพขน์ฌงค์องค์ที่ ๒ องค์(ประกอบ)ของการตรัสรู้ จึงเป็นสิ่งที่ควรกระทำให้เจริญยิ่ง
ผู้ที่เข้าใจกระบวนจิตการทำงานของปฏิจสมุปบาท
หรือขันธ์ ๕ แจ่มแจ้งดีแล้ว ย่อมสามารถพิจารณาเห็นความคิดชนิดธรรมารมณ์ หรือความคิดปรุงแต่งได้ง่าย
ดังแสดงกระบวนธรรมการทำงานของจิตโดยขันธ์ทั้ง ๕ ข้างต้น ที่จำแนกแยกแยะแตกธรรมการทำงานประสานสัมพันธ์กันของขันธ์ทั้ง
๕ ได้ชัดเจน และต้องพึงเกิดจากการพิจารณาจนยอมรับได้ด้วยตนเองว่ามันเป็นเหตุเป็นผลกันเป็นไปตามนั้นจริงๆ และเมื่อนำมาพิจารณาโดยแยบคายย่อมพอจำแนกแยกแยะความคิดนึกชนิดธรรมารมณ์
และคิดนึกมโนกรรมปรุงแต่ง ได้อย่างแจ่มแจ้ง, ส่วนในปฏิจจสมุปบาทนั้น
เมื่อโยนิโสมนสิการโดยแยบคายก็ย่อมทราบได้ว่า ความคิดนึกปรุงแต่งก็คือ กระบวนธรรมของอุปาทานขันธ์ทั้ง
๕ ที่วนเวียนปรุงแต่งเป็นอีกวงจรหนึ่งในองค์ธรรม"ชรา"ที่หมายถึงความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงนั่นเอง(วงจรเล็กสีแดงซ้ายมือ)
อันเป็นวงจรการทำงานประสานกันของอุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ จึงคิดปรุงแต่งวนเวียนเป็นวงจร
จนยิ่งสั่งสมเป็นทุกข์
และเพราะวนเวียนจึงอย่างยาวนานอีกด้วยนั่นเอง ดังภาพ
อาสวะกิเลส
มรณะ สฬายตนะ สัญญูปาทานขันธ์
เวทนูปาทานขันธ์
ชาติ (สังขารขันธ์ แปรเป็นสังขารูปาทานขันธ์เกิดมโนกรรมคิดนึก เวทนา (มโนสังขาร) (อกุศลสัญเจตนา) (สังขารขันธ์) ภาพวงจรปฏิจจสมุปบาท แบบขยายความเต็มรูปแบบโดยพิศดาร |
xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx
วิถีเซ็น พุทธปรัชญาเซ็น