ไปสารบัญ

หัวข้อธรรม ๖

   

คลิกขวาเมนู   

มารู้จักธรรมชาติ ในการทำงานประสานสัมพันธ์ เป็นเหตุปัจจัยกันของขันธ์ทั้ง ๕ หรือชีวิต  เพื่อนำไปใช้ในการดับทุกข์

        การทำงานของขันธ์ ๕ หรือเรียกว่า"กระบวนธรรมของขันธ์ ๕" นี้ เป็นไปดั่งเช่นวงจรปฏิจสมุปบาท คือ เกิดขึ้นเนื่องจากการเป็นเหตุปัจจัยกันจึงเกิดขึ้น เนื่องสัมพันธ์กันไปเป็นลำดับ เหตุปัจจัยหนึ่ง เป็นเหตุให้เกิด อีกเหตุปัจจัยหนึ่ง ต่อเนื่องกันเป็นลำดับ, กระบวนธรรมของขันธ์ ๕ เมื่อเริ่มขึ้นแล้ว ต้องดำเนินไปจนสุดสิ้นกระบวนธรรมที่สังขารขันธ์  จึงไม่เป็นวงจรดั่งวงจรปฏิจจสมุปบาท  เพียงแต่กระบวนธรรมของขันธ์ทั้ง ๕ นี้ เป็นเพียงการแสดงกระบวนธรรมของจิตที่ดำเนินไปตามปกติธรรมดาของชีวิต ที่ไม่ได้เน้นถึงการเกิดขึ้นของทุกข์ ที่มีตัณหาอุปาทานเข้ามาแทรก,  แต่การเจริญจิตในกระบวนธรรมของขันธ์ ๕ อย่างแจ่มแจ้ง ทำให้สามารถรู้ความจริงของชีวิต เพื่อใช้ไปในการดับทุกข์ คือเพื่อรู้ในคุณสมบัติต่างๆของขันธ์ ๕ ดังเช่น อะไรเป็นเหตุปัจจัยแก่กันและกันให้เกิดการสืบเนื่องสัมพันธ์กัน, เป็นอิสระจากเรา, ควบคุมไม่ได้จริง, ทำงานตามหน้าที่เท่านั้น ฯ. อันล้วนยังประโยชน์ยิ่งในการเจริญวิปัสสนา, อีกทั้งอำนวยประโยชน์ในการเจริญจิตในปฏิจจสมุปบาทอีกด้วย เพราะตั้งอยู่บนบาทฐานเดียวกัน คือความเป็นเหตุปัจจัยของขันธ์ทั้ง ๕ จึงเกิดขึ้น,  เมื่อมีความเข้าใจ ก็จะตอบปัญหาได้ด้วยตนเองว่าทำไมจึงยังมีสังขารขันธ์หรืออารมณ์ต่างๆ เช่น โกรธ หดหู่ ทุกข์ ฯ. ทำไมจึงยังเกิดขึ้นได้ทั้งในปุถุชนและพระอริยเจ้า  แล้วผลในที่สุดทำไมจึงมีความแตกต่างกันได้อย่างไร?

        ขณะมีชีวิตอยู่ ขันธ์ทั้ง ๕ ย่อมประกอบร่วมกันอยู่ และยังเป็นการอยู่ร่วมกันอย่างเป็นเหตุเป็นปัจจัยแก่กันและกันอยู่ตลอดเวลาด้วย  และขันธ์ทั้ง ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ยังต้องมีการทำงานที่เนื่องสัมพันธ์กันเป็นเหตุ เป็นปัจจัยกัน อย่างแนบแน่นอยู่ตลอดเวลาในขณะมีชีวิตอยู่อีกด้วย ดังเช่น เมื่อตากระทบรูป ผลก็คือ เนื่องสัมพันธ์ให้เกิดจักขุวิญญาณขึ้นโดยธรรม(ธรรมชาติ)ของชีวิต คือการเห็นหรือรู้แจ้งในรูปที่กระทบกับตานั้น ซึ่งดำเนินไปเอง ไม่ต้องไปสั่ง ไม่ต้องไปควบคุม อีกทั้งควบคุมก็ไม่ได้ เช่น ขอตาเราจงอย่าเห็นรูปนี้เถิด ก็ย่อมไม่ได้ดังปรารถนา,  ธรรมารมณ์หรือความคิด กระทบกับใจ ผลก็คือเนื่องสัมพันธ์ให้เกิดมโนวิญญาณขึ้น คือการรู้แจ้งในความคิดนั้น โดยอัตโนมัติคือโดยธรรมชาติ ไม่ต้องไปสั่งหรือไม่ต้องควบคุมบังคับบัญชามันแต่อย่างใด  ควบคุมบังคับไม่ให้รู้แจ้ง,ไม่ให้ทำงานเสียก็ไม่ได้,  หู จมูก ลิ้น และกาย ก็เฉกเช่นกัน  ย่อมไม่สามารถไปควบคุมบังคับไม่ให้เกิดเหล่าวิญญาณทั้ง ๖ ใดๆที่เกิดขึ้นทำงานตามหน้าที่ของตนได้เลย  ตลอดจนขันธ์อื่นๆที่จักต้องเกิดดำเนินสืบเนื่องสัมพันธ์กันต่อไปอีกด้วย คือย่อมเกิด เวทนาขันธ์..สัญญาขันธ์..และสังขารขันธ์ ต่างๆเกิดขึ้นตามมา เมื่อมีการกระทบกันแล้วดังกล่าวของอายตนะภายนอกและภายในขึ้น เป็นสภาวะธรรมหรือธรรมชาติอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นเช่นนี้เอง

        ด้วยขันธ์ทั้ง ๕ ล้วนเป็นอนัตตา(อนัตตลักขณสูตร) เพราะต่างก็ล้วนเป็นสังขาร จึงย่อมล้วนเกิดขึ้นมาจากการที่มีเหตุต่างๆมาเป็นปัจจัยแก่กันและกัน จึงเกิดขึ้น ตัวตนที่เป็นของตัวเองอย่างแท้จริงย่อมไม่มี  สิ่งที่หลงคิดไปว่าเป็นตัวตนนั้น แท้จริงเป็นเพียงกลุ่มก้อน(ฆนะ)หรือมวลรวมที่เกิดขึ้นจากการประกอบกันขึ้นขององค์ประกอบย่อยๆ มาประชุมปรุงแต่งกันในขณะหรือในระยะเวลาหนึ่งๆเท่านั้น  ดังนั้นแท้จริงแล้วสังขารต่างๆมันจึงขึ้นอยู่กับเหล่าเหตุต่างๆที่มาประชุมเป็นปัจจัยแก่กันและกันนั่นเอง ตามหลักเหตุและผล(อิทัปปัจจยตา) จึงล้วนไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เราอย่างแท้จริง และไม่มีตัวตนของมันเองจริง  เมื่อไม่ใช่ของเราแท้จริงด้วยเหตุนี้เอง จึงควบคุมบังคับมัน บัญชามันให้เป็นไปตามปรารถนาไม่ได้ แม้แต่ขันธ์ใดขันธ์หนึ่ง ดังเช่น

        เมื่อ คิดกระทบใจ  มโนวิญญาณย่อมเกิดขึ้นได้เองเป็นธรรมดา  แล้วท่านทรงเรียกการประจวบการทำงานร่วมกันของธรรม(สิ่ง)ทั้ง ๓ นี้ว่าการผัสสะ แล้วย่อมดำเนินไปตามกระบวนธรรมหรือสภาวธรรมของชีวิตต่อเนื่องไปอีกโดยไปควบคุมบังคับให้เป็นไปตามปรารถนาไม่ได้เลย คือเมื่อเริ่มเกิดการทำงานของขันธ์ ๕ ขึ้นแล้ว คือเมื่อ"อายตนนะภายนอก" เกิดการกระทบกับ "อายตนะภายใน"แล้ว ย่อมเปรียบได้เหมือนดั่งลูกธนูที่หลุดทะยานออกจากแล่งคือคันศร ที่ย่อมพุ่งทะยานไป  คือเมื่อลูกธนูหลุดออกจากคันศรแล้ว เราย่อมไม่สามารถควบคุมบังคับหรือบัญชาในลูกธนูนั้นโดยตรงได้อีกต่อไป คือจะไปควบคุมสั่งการให้เปลี่ยนทิศ เอียงซ้าย เอียงขวา ขึ้น ลง แรง เบา สั่งให้ทะยานเข้าหาเป้า ฯ. ด้วยประการใดๆก็ดี ย่อมควบคุมหรือบังคับไม่ได้อีกต่อไป คือเมื่อลูกธนูหลุดออกจากแหล่งแล้วย่อมพุ่งทะยานเป็นไปตามธรรมหรือธรรมชาติของเหตุปัจจัยเท่านั้นเช่น ความแข็งแรงคันธนู, การน้าวธนู การเล็ง ฝีมือ ฯ คือเป็นไปตามเหตุที่เป็นปัจจัยกันก่อนการหลุดออกจากแหล่งคือคันธนูเท่านั้น,  ขันธ์ ๕ ก็เฉกเช่นกัน เมื่อเกิดการทำงานแล้ว  ก็ย่อมดำเนินไปตามกระบวนธรรมเหมือนลูกธนูนั้นแล เหมือนกันดั่งวงจรปฏิจจสมุปบาท  ทำงานทะยานไปเป็นอิสระจากเราทันที จึงย่อมเกิดวิญญาณ เวทนา สัญญา และสังขารขันธ์หรืออารมณ์ทางโลก(อีกทั้งมโนกรรมตามมา)  ต้องดำเนินไปตามกระบวนธรรม ไม่อยู่ในอำนาจควบคุมบังคับบัญชาของใครๆ แต่เป็นไปตามเหตุปัจจัย เหมือนดั่งลูกธนูที่หลุดออกจากคันศรไปแล้วนั่นเอง ที่ย่อมควบคุมบังคับมันไม่ได้อีกต่อไป มันจะดำเนินเป็นไปตามเหตุปัจจัยหรือดำเนินไปตามธรรมหรือธรรมชาติแวดล้อมเท่านั้นเอง เช่นแรงลม ฯ. และล้วนเกิดขึ้นและเป็นไปเฉกเช่นเดียวกันในทวารที่เหลืออีกทั้ง ๕ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย

หรือเหมือนดั่งเมื่อมีการเปิดสวิตท์สตาร์ทรถยนต์

เปรียบดั่งเมื่อเครื่องยนต์ติดแล้วคือเริ่มกระบวนธรรม คือเกิดการทำงานขึ้นแล้ว

ตัวเครื่องยนต์ย่อมทำงานของมันตามหน้าที่ตามกลไกในการจุดระเบิด

ดำเนินไปตามหน้าที่กลไกของมันเองตามธรรมชาติโดยอัตโนมัติ

ไม่ต้องไปคอยบังคับบัญชาให้ลูกสูบมันทำงาน จุดระเบิดแต่ละที แต่ละครั้ง แต่ละสูบ มันทำงานตามหน้าที่เอง

ซึ่งแทรกแซงการทำงานการจุดระเบิดของแต่ละกระบอกสูบย่อมไม่ได้เลย

แม้เมื่อมีการเร่งเครื่องยนต์ ก็สักว่าเพียงแต่เร่งเครื่อง

แต่ไม่ได้ไปเปลี่ยนกระบวนธรรมในการทำงานของมันเลย เพียงแต่เร่งเร้ารอบเครื่องหรือความเร็วขึ้นเท่านั้น

ขันธ์ ๕ หรือสิ่งต่างๆก็เช่นกัน   แต่ถึงแม้เราควบคุมบังคับบัญชามันไม่ได้โดยตรงๆ

เพราะไม่ใช่ของเรา จึงไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาเรา

แต่สามารถใช้สติและปัญญาในการดับที่เหตุได้

ที่มีความหมายว่า ไม่ให้มีเหตุเกิดขึ้นเนื่องต่อไปอีก

เหมือนการดับสวิตท์ไฟรถเสียนั่นเอง เครื่องยนต์จึงดับไป

เพราะเหตุไม่ใช่ขันธ์ ๕,  เหตุเป็นเพียงปัจจัยหนึ่ง ที่ไปปรุงแต่งร่วมกับ"ขันธ์ทั้ง ๕"

เหตุ ก็คืออายตนะภายนอกทั้งหลายนั่นเอง คือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์เช่นความคิดนึกต่างๆ

แม้ก็เป็นอนัตตา เราควบคุมบังคับเขาทั้งหลายไม่ได้

แต่เมื่อเกิดการกระทบกับขันธ์ ๕ แล้ว ย่อมเกิดสังขารขันธ์เป็นที่สุด

ซึ่งสังขารขันธ์นี้ ยังให้เกิดความคิดนึกที่เป็นผลจากสังขารขันธ์ ที่เรียกว่ามโนกรรม อันเป็นผล

แม้ย่อมต้องรับในผลนั้นๆตามเหตุปัจจัย  แต่เราสามารถ"ไม่เอา" ไปปรุงแต่งต่อไปอีกได้

ด้วยการอุเบกขาเสียนั่นเอง

เหตุก่อที่จะทำให้ทุกข์สืบเนื่องต่อไปจึงไม่มี แม้ทุกข์ที่ย่อมเกิดขึ้นมาแล้วนั้น ก็ต้องเสื่อมดับไปด้วยธรรมนิยาม

 

        แม้เหตุ จักเป็นอนัตตาเช่นกัน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา แม้ควบคุมไม่ได้  แต่เมื่อเกิดผลคือเป็นสังขารขันธ์หรือมโนกรรมแล้ว ซึ่งสามารถไปเป็นเหตุก่อคือธรรมารมณ์ได้อีก  แต่สามารถ"ไม่เอา" คือสักว่า หรือการอุเบกขาเสีย  เพราะเหตุเหล่านี้แม้เป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราเช่นกัน  แต่จำเป็นต้องมีต้องเอาไว้ใช้ ในการดำรงชีวิต ที่ไม่มีเสียก็ดำรงชีวิตอยู่ไม่ได้โดยปกติ  จึงต้องอุเบกขาที่มโนกรรมเพื่อไม่ให้แปรไปทำหน้าที่เป็นเหตุได้อีก

 

        สภาวธรรมหรือกระบวนธรรมการทำงานของขันธ์ทั้ง ๕ พอจะเขียนเป็นสมการ ให้แลดูพอให้เข้าใจได้ง่ายๆ เพื่อใช้โยนิโสมนสิการ ในการทำงานเนื่องสัมพันธ์เป็นเหตุเป็นปัจจัยกันของขันธ์ทั้ง ๕ จะได้รู้ว่าเมื่อมีการกระทบกันของอายตนะภายนอก(อันคือเหตุ)กับอายตนะภายในแล้ว ย่อมเกิดการดำเนินไปตามหน้าที่ของขันธ์ทั้ง ๕ เอง อย่างควบคุมบังคับไม่ได้ ขึ้นมาดังนี้

ใจ    กระทบกัน เช่น ตาเห็นรูป ธรรมารมณ์(คิด)  มโนวิญญาณย่อมเกิดขึ้น  [การประจวบกันของปัจจัยทั้ง ๓ ข้างต้น พระองค์ทรงเรียกว่า ผัสสะ]  สัญญาจําได้(ธัมมสัญญาจำได้ในธรรมารมณ์นั้น)   เวทนา  สัญญาหมายรู้ (ธัมมสัญเจตนาคิดอ่านในธรรมารมณ์นั้น สังขารขันธ์ [ จึงยังให้เกิดสัญเจตนา(เจตนา,ความจงใจ,ความคิดอ่านให้กระทำ)  ยังให้เกิดกรรม (คือ เกิดการกระทำทางกาย ทางวาจา หรือทางใจ ต่างๆ) เป็นไปตามสัญเจตนาที่เกิดจากสังขารขันธ์หรืออารมณ์ทางโลกเช่นความโกรธ หดหู่ ฟุ้งซ่าน สุขใจ ทุกข์ใจ ฯ.]

กล่าวคือ

ใจ เมื่อกระทบกับ ความคิด(ธรรมารมณ์) ย่อมเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เกิด มโนวิญญาณ (โดยธรรมหรือธรรมชาติ คือยังไงก็ต้องเกิดบังคับบัญชามันไม่ได้ และนับตั้งแต่วิญญาณทั้งหลายเป็นต้นไปนี้ ล้วนเกิดขึ้นและดำเนินเป็นไปตามกระบวนธรรมตามธรรมชาติทั้งสิ้น ไม่อยู่ในอำนาจของใครๆแม้ตัวเรา ดุจดั่งลูกธนูที่หลุดออกจากแล่งไปแล้วนั่นเองการประจวบกันของเหตุปัจจัยทั้ง ๓ ทางธรรมเรียกว่า ผัสสะ จึงเป็นเหตุปัจจัยจึงเกิด สัญญา ความจำต่างๆ ในธรรมารมณ์หรือข้อมูลสิ่งต่างๆในความคิดนั้นขึ้นมาได้เอง ตามที่ได้สั่งสมเก็บจำไว้ (เช่นความคิดที่เป็นทุกข์)  จึงเป็นเหตุเป็นปัจจัยจึงเกิด เวทนา ความรู้สึกรับรู้ต่างๆที่ย่อมต้องเกิดขึ้นจากการเสวยคือรับรู้ในสิ่งที่กระทบนั้นโดยธรรมคือธรรมชาติของชีวิต เป็นสุขเวทนาบ้าง เป็นทุกขเวทนาบ้าง เป็นอทุกขมสุขเวทนาบ้าง ตามรสสัมผัสจากสัญญาที่มีในสิ่งที่กระทบนั้นๆ  จึงเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เกิด สัญญาอีกครั้งหนึ่ง แต่เป็นสัญญาประเภทหมายรู้,คิดอ่านในธรรมารมณ์นั้น ตามที่ได้สั่งสมอบรมมาแต่อดีต(จึงย่อมรวมถึงปัญญาที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วด้วย)ขึ้นอีกครั้ง  จึงเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดผลขึ้นต่อมาคือสังขารขันธ์ สภาพของจิตหรืออารมณ์(ทางโลก) ที่จักไปปรุงแต่งใจให้เกิดสัญเจตนาคือจงใจหรือคิดอ่าน ให้กระทำสิ่งต่างๆทั้งทางดี ชั่ว และแม้กลางๆที่จำเป็นยิ่งในการดำเนินชีวิตทั่วไป  และยังดำเนินต่อไปอีกคือไปเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้สัญเจตนาหรือความจงใจหรือความคิดอ่านนั้นไปผลักดัน ให้เกิดการกระทำ(กรรม)ในสิ่งต่างๆในช่วงระยะเวลาหนึ่งๆ  จึงเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดการกระทำต่างๆ(กรรม)ขึ้นได้ ทั้งทางกาย วาจา หรือใจ(กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม) อันเป็นไปตามความเจตนาหรือความคิดอ่านนั้นๆที่เกิดขึ้นจากสังขารขันธ์นั่นเอง   กระบวนธรรมทั้งหมดนี้แม้สาธยายมาอย่างยืดยาวนั้นแท้จริงเกิดขึ้นในชั่วพริบตาเร็วกว่าสายฟ้าแลบเสียอีก (เป็นกระบวนการทางไฟฟ้าเช่นกันคือระบบสื่อสารไฟฟ้าของประสาท จึงรวดเร็วยิ่งสายฟ้า) ล้วนเป็นไปตามธรรมหรือธรรมชาติ อีกทั้งการฝึกฝนสั่งสมดำเนินมาแต่แรกเกิด จึงจำต้องใช้ปัญญาคือการโยนิโสมนสิการไล่เรียงหาเหตุผลเป็นลำดับ จึงเห็นแจ้งขึ้นได้เท่านั้น

        

        อีกทั้งทวารทั้ง ๕ หรืออายตนะภายในทั้ง ๕ ที่เหลือคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ที่เป็นทวารหรือประตูที่มีไว้ติดต่อสื่อสารต่างๆกับโลก ต่างก็ล้วนทำงานในลักษณาการเดียวกับ ใจ ทั้งสิ้น จึงล้วนส่งผลให้เกิดสังขารขันธ์ต่างๆในที่สุดเหมือนกันทั้งสิ้น แล้วส่งผลให้เกิดการกระทำ(กรรม)ต่างๆขึ้นเช่นกัน ทั้งความคิดนึกอันเป็นผลคือมโนกรรม แม้จากการผัสสะของ ตา หู จมูก ลิ้น และกาย ได้เฉกเช่นเดียวกันกับใจ

ตา    กระทบกัน เช่น ตาเห็นรูป รูป  จักขุวิญญาณย่อมเกิดขึ้น  ผัสสะ  สัญญาจําได้ในรูป   เวทนา  สัญญาหมายรู้ (คิดอ่านในรูป)  สังขารขันธ์ [ จึงเกิดสัญเจตนา(เจตนา,ความจงใจ,ความคิดอ่าน)  กรรม (คือ การกระทำทางกาย ทางวาจา หรือทางใจ(มโนกรรม) ต่างๆ) เป็นไปตามสัญเจตนาที่เกิดจากสังขารขันธ์หรืออารมณ์]

 

หู    กระทบกัน เช่น ตาเห็นรูป เสียง  โสตวิญญาณย่อมเกิดขึ้น  ผัสสะ  สัญญาจําได้ในเสียง   เวทนา  สัญญาหมายรู้   สังขารขันธ์ [anired06_next.gif จึงเกิดสัญเจตนา(เจตนา,ความจงใจ,ความคิดอ่าน) anired06_next.gif กรรม (คือ การกระทำทางกาย ทางวาจา หรือทางใจ(มโนกรรม) ต่างๆ) เป็นไปตามสัญเจตนาที่เกิดจากสังขารขันธ์]

 

จมูก    กระทบกัน เช่น ตาเห็นรูป กลิ่น  ฆนะวิญญาณย่อมเกิดขึ้น ผัสสะ  สัญญาจําได้   เวทนา  สัญญาหมายรู้   สังขารขันธ์ [anired06_next.gif จึงเกิดสัญเจตนา(เจตนา,ความจงใจ,ความคิดอ่าน) anired06_next.gif กรรม (คือ การกระทำทางกาย ทางวาจา หรือทางใจ(มโนกรรม) ต่างๆ) เป็นไปตามสัญเจตนาที่เกิดจากสังขารขันธ์]

 

ลิ้น    กระทบกัน เช่น ตาเห็นรูป รส  ชิวหาวิญญาณย่อมเกิดขึ้น  ผัสสะ  สัญญาจําได้   เวทนา  สัญญาหมายรู้   สังขารขันธ์ [anired06_next.gif จึงเกิดสัญเจตนา(เจตนา,ความจงใจ,ความคิดอ่าน) anired06_next.gif กรรม (คือ การกระทำทางกาย ทางวาจา หรือทางใจ(มโนกรรม) ต่างๆ) เป็นไปตามสัญเจตนาที่เกิดจากสังขารขันธ์]

 

กาย    กระทบกัน เช่น ตาเห็นรูป สัมผัส  กายวิญญาณย่อมเกิดขึ้น  ผัสสะ  สัญญาจําได้   เวทนา  สัญญาหมายรู้   สังขารขันธ์ [anired06_next.gif จึงเกิดสัญเจตนา(เจตนา,ความจงใจ,ความคิดอ่าน) anired06_next.gif กรรม (คือ การกระทำทางกาย ทางวาจา หรือทางใจ(มโนกรรม) ต่างๆ) เป็นไปตามสัญเจตนาที่เกิดจากสังขารขันธ์]

 

        โดยสรุปได้ว่า เมื่อใดก็ตามที ที่มีการกระทบกันของอายตนะภายนอก(รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์)กับอายตนะภายใน(ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) ย่อมยังให้เกิดผล คือทั้งเวทนาขันธ์และขันธ์ต่างๆย่อมสืบเนื่องสัมพันธ์ต่อๆไปเหมือนดั่งลูกธนูหลุดออกจากแล่งแล้ว ย่อมควบคุมบังคับไม่ได้จึงต้องทะยานไปสู่เป้าหมายเท่านั้นคือสังขารขันธ์(อารมณ์ต่างๆ)อันเป็นที่สุดของกระะบวนธรรมของขันธ์ ๕ เป็นธรรมดา,  แต่ปุถุชนย่อมไม่สังเกตุเพราะต้องใช้ปัญญาในการโยนิโสมนสิการโดยละเอียดและแยบคายจึงจักพบความจริงข้อนี้ได้  และเพราะโดยทั่วไปหรือบางทีเป็นเพียงอุเบกขาเวทนา และสังขารขันธ์(อารมณ์)นั้นก็อยู่ในสภาพของใจหรืออาการของจิตนั้นเฉยๆหรือเป็นกลางๆ หรือที่เรียกอุเบกขาเช่นกันแต่มีความหมายถึงแค่อาการของจิตอย่างหนึ่งที่ เป็นกลางๆหรือเฉยๆในอารมณ์ (ในเจตสิก ๕๒ หัวข้อที่ ๓๔ นั่นเอง) จึงแผ่วเบาเสียจนไม่ได้สังเกตุว่าได้เกิดขึ้น  อุปมาได้ดั่งการสวมเสื้อผ้าที่ กายกระทบสัมผัสกับเสื้อผ้าตลอดเวลา แต่เคยชินยิ่ง ทั้งสั่งสมมา ถ้าไม่เน้นเพ่งหรือกล่าวถึง ก็ราวกับว่าไม่มีความรู้สึกรับรู้ใดจากการผัสสะ(อทุกขมสุขเวทนา)ระหว่างกายกับเสื้อผ้านี้้ และสังขารขันธ์หรืออารมณ์ที่เกิดเนื่องก็เป็นเพียงชนิดอุเบกขาคืออารมณ์เป็นกลางหรือเฉยๆนั่นเอง  จึงแลดูราวกับว่าไม่มีเวทนาและสังขารขันธ์ใดๆเกิดขึ้นเลย จากการกระทบผัสสะกันของเสื้อผ้าและกาย

        การหายใจเข้าออกก็เช่นกัน เกิดการกระทบของลมกับกายคือรูจมูกอยู่ตลอดเวลาคือกายสัมผัส(โผฏฐัพพะ)  ถ้าไม่เพ่งคือตั้งใจสังเกตุหรือกล่าวถึง ก็ราวกับว่าไม่มีความรู้สึกรับรู้(เวทนา)ใดๆจากลมกระทบกาย  อีกทั้งสังขารขันธ์ที่เกิดเนื่องก็เป็นเพียงกลางๆคือเกิดสังขารขันธ์หรืออารมณ์ชนิดอุเบกขาคือเฉยๆกลางๆ ด้วยเคยชินยิ่งตลอดชีวิตมา  จึงราวกับว่าไม่มีกระบวนธรรมของขันธ์ใดๆเกิดขึ้นเลย ทั้งๆที่เกิดขึ้นและเป็นไปอยู่ตลอดเวลา โดยไม่รู้ตัว คือเป็นอทุกขมสุขเวทนานั่นเอง

        ที่แสดงนี้เพียงเพื่อแจงให้เข้าใจว่า เมื่อมีการกระทบกันของอายตนะต่างๆแล้ว ขันธ์ ๕ ก็ย่อมทำงานดำเนินไปตามหน้าที่ตน ดำเนินไปตามกระบวนธรรมของเขา ไม่มีใครไปหยุด ไปห้ามเขาได้ ทั้งในปุถุชนและพระอริยเจ้า  วิธีการดับทุกข์จึงทำได้เพียงวิธีเดียวของพระองค์ท่านเท่านั้น คือมีสติรู้ทัน แล้วปล่อยวาง ไม่ยึดมั่น ไม่ยึดถือ เสียด้วยอาการของการอุเบกขาเสียนั่นเอง เมื่อสติระลึกรู้เท่าทันและปัญญาเล็งเห็นว่าเป็นโทษหรือสมควรแก่เหตุ(ปัญญาที่เกิดขึ้นแล้วย่อมทำหน้าที่เป็นสัญญาหมายรู้อีกด้วย) ว่าเป็นสังขารขันธ์(อารมณ์)อันให้โทษ หรือก็คือวิธีการปฏิบัติแบบ จิตตานุปัสสนา นั่นเอง คือการมีสติเห็นจิตตสังขารคือสังขารขันธ์ต่างๆรวมทั้งมโนกรรมที่ย่อมเกิดขึ้นมาร่วมด้วย และรู้คุณโทษด้วยปัญญาหรือสัญญา แล้วปล่อยวาง ด้วยการไม่ยึดมั่นถือมั่นใดๆ ด้วยเหตุเหล่านี้นี่เองอุเบกขาสัมโพชฌงค์จึงเป็นองค์สำคัญในการปฏิบัติโพชฌงค์ (องค์ของการตรัสรู้)นี่เอง  หรือบางทีบางท่านอาจสติรู้เท่าทันในเวทนา(เวทนานุปัสสนา) พรั่งพร้อมด้วยปัญญาพละว่า สักว่าเวทนา ที่เกิดจากเหตุปัจจัยของการที่อายตนะต่างๆได้เกิดการผัสสะกัน จึงย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ตั้งอยู่ แล้วเสื่อมดับไป เป็นธรรมดา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา จึงควบคุมบังคับไม่ได้ มันเป็นของมันเช่นนี้เอง(ตถตา)   และอุเบกขาต่อสังขารขันธ์ความคิดต่างๆ(มโนกรรม)ที่เกิดตามมา  ปุถุชนและพระอริยเจ้าจึงมีความแตกต่างกันดังนี้นี่เอง  ท่านจึงไม่รับทุกข์อันเกิดขึ้นเนื่องจากความคิดนึกปรุงแต่งกันต่อๆมา ทั้งจากขันธ์ ๕ และอุปาทานขันธ์ ๕ ดังภาพ

 ธรรมารมณ์   +   ใจ  +  มโนวิญญูาณขันธ์    anired06_next.gif เวทนาขันธ์

มโนกรรม                    ขันธ์ทั้ง๕                                

สังขารขันธ์ มโนกรรม คิดนึก                    สัญญาขันธ์

วงจรแสดงขันธ์ทั้ง๕ ที่เกิดการคิดนึกปรุงแต่งจนเป็นวงจร

ธรรมารมณ์  +  ใจ + วิญญูาณูปาทานขันธ์  anired06_next.gifเวทนูปาทานขันธ์

มโนกรรม                       อุปาทานขันธ์ทั้ง ๕                               

สังขารูปาทานขันธ์ มโนกรรมคิดที่เป็นทุกข์    สัญญูปาทานขันธ์

วงจรอุปาทานขันธ์ทั้ง๕ ที่ล้วนถูกครอบงําโดยอุปาทาน

        ความแตกต่างในการดำเนินชีวิตหรือขันธ์ ๕ จึงอยู่ที่ มโนกรรม  ที่แสดงข้างต้น  พระอริยเจ้าท่านมีทั้งสติและปัญญาเห็นจริงในลักษณาการดั่งนี้ของขันธ์ทั้ง ๕ อีกทั้งอุปาทานขันธ์ทั้ง ๕  ท่านจึงปล่อยวาง ไม่เอา ไม่ยินดียินร้าย หรือการอุเบกขา ในมโนกรรมต่างๆเสียนั่นเอง  วงจรของทั้งขันธ์ ๕ หรือแม้อุปาทานขันธ์ ๕ ก็ย่อมขาดการสืบเนื่องให้ดำเนินต่อไปได้  จึงคลายเสื่อมดับไปด้วยอำนาจธรรมนิยาม  หรือ"หยุดคิดนึกปรุงแต่ง"เสียนั่นเอง  ส่วนปุถุชนก็จะวนเวียนปรุงแต่งต่อๆไปได้อย่างยาวนาน และทวีทับถมรุ่มร้อนยิ่งขึ้นๆไปอีก เป็นธรรมดา  พระอริยเจ้าไม่ว่าท่านจะปฏิบัติมาทางสายใดก็ตามแต่ท้ายสุดแล้ว ผลก็ต้องออกมาในลักษณาการดั่งนี้ สติเท่าทันสังขารขันธ์ แล้วอุเบกขาในมโนกรรมอันเป็นผลสืบเนื่องนั่นเอง เป็นที่สุด  พระพุทธองค์จึงทรงแสดงไว้ว่า "อุเบกขา" เป็นองค์สุดท้ายของสัมโพชฌงค์ ๗ องค์ของการตรัสรู้

        ในที่สุด เราก็พอมีความรู้ยิ่ง จนสรุปได้ว่า เมื่อมีการกระทบกันแลัวของอายตนะใดๆก็ตามที ผลก็คือ ต้องเกิดสังขารขันธ์(อารมณ์ทางโลก)เป็นที่สุดของกระบวนธรรม  แล้วจึงยังให้เกิดสัญเจตนาคือความเจตนา ความจงใจ ความคิดอ่าน ที่ไปปรุงแต่งจิตหรือใจให้เกิดการกระทำต่างๆ ทั้งทางดี ทางชั่ว แม้กลางๆโดยทั่วไป ได้ทั้งทางกาย(กายกรรม) วาจา(วจีกรรม) ใจ(มโนกรรม)   จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรประมาท เพราะล้วนย่อมส่งผลถีงใจเป็นที่สุดเพราะสังขารขันธ์นั้นก็คืออาการต่างๆของจิตหรือใจหรืออารมณ์ทางโลกนั่นเอง ดังมีคำสอนกล่าวไว้ใน"อุณณาภพราหมณสูตร"  อีกทั้งปุถุุชนมักคิดนึกปรุงแต่งต่อด้วยความเคยชินจึงไม่รู้ตัว จึงเป็นวงจรของทุกข์วนเวียนเนื่องต่อไปเรื่อย..ๆ  จึงเป็นสิ่งที่ควรมีสติระลึกรู้เท่าทันสังขารขันธ์(อารมณ์)อันให้โทษต่างๆจากทุกอายตนะนั่นเอง เช่น โทสะ โมหะ โลภะ หดหู่ ฟุ้งซ่าน รำคาญใจ ทุกข์ใจ ริษยา ตัณหา ฯ.  บางทีเราจะคิดไปเองด้วยความไม่รู้ว่า สามารถควบคุมให้ไม่เกิดสังขารขันธ์(อารมณ์)ใดๆเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ ดังที่กล่าวไว้ข้างต้นบ้าง จึงเข้าใจไปว่าเราสามารถควบคุมบังคับ,ห้ามหรือดับสังขารขารขันธ์(อารมณ์)อันเป็นขันธ์นั้นๆได้  โดยไม่รู้ความจริงว่าแท้จริงแล้ว ขันธ์ทั้ง ๕ เขายังคงทำงานตามหน้าที่ของเขาไปจนจบสิ้นกระบวนธรรมของเขาทุกครั้งทุกทีไปโดยธรรมโดยอัติโนมัติ  เพียงแต่ว่าสังขารขันธ์(อารมณ์)ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นแบบ เฉยๆหรือกลางๆ ที่เรียกกันว่า อารมณ์อุเบกขา  อารมณ์อุเบกขานี้จึงไม่ใช่หมายถึงการปฏิบัติใดๆ เป็นเพียงการแสดงถึงสภาวะหรืออาการของอารมณ์หรือสังขารขันธ์อย่างหนึ่งเท่านั้น ดังจัดอยู่ใน เจตสิก ๕๒(หัวข้อที่ ๓๔) เมื่อเกิดอารมณ์อุเบกขาดังกล่าวขึ้น คือ อารมณ์เฉยๆ กลางๆ  จึงเกิดความเข้าใจผิดคิดไปว่าไม่มีสังขารขันธ์หรืออารมณ์ใดๆเกิดขึ้น แต่แท้จริงแล้ว ขันธ์ทั้ง๕ ก็ยังคงทำงานตามหน้าที่ของเขา ไม่มีใครไปห้ามหรือหยุดการทำงานของเขาได้ เขาดำเนินไปตามเหตุต่างๆที่มาเป็นปัจจัยแก่กันและกันได้เท่านั้นเอง  จึงเป็นเหตุให้เกิดโมหะความหลงไปว่า สามารถหยุดหรือห้ามไม่ให้เกิดหรือให้ดับสังขารขันธ์หรืออารมณ์ต่างๆได้  เมื่อเข้าใจดังกล่าวจึงเกิดการปฏิบัติชนิดที่พยายามไปหยุดไปห้ามสังขารขันธ์(อารมณ์)ต่างๆที่ไม่ชอบเสีย จึงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ จึงไม่ประสพผลสำเร็จในที่สุด

        ดังนั้นครานี้เราได้ความรู้โดยรวมว่า มีขันธ์เกิดขึ้นทุกขันธ์ ในกระบวนจิต ดังนั้นการมีสติระลึกรู้ในขันธ์ต่างๆอันล้วนเป็นสิ่งดีงาม เช่น สติระลึกรู้ในกาย เวทนา หรือจิต(สังขารขันธ์) จึงเป็นสิ่งที่พึงปฏิบัติยิ่่ง การมีสติระลึกรู้ในสิ่งใดก่อนก็ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน อบรม การสั่งสม จริต หรือวสีของแต่ละบุคคลนั่นเอง พร้อมด้วยปัญญาพละว่า สักว่าเกิดแต่เหตุปัจจัย มันเกิดขึ้นเป็นไปเช่นนี้เอง

        กระบวนธรรมของชีวิต ถ้าจะแยกออกให้เห็นระยะการทำงานต่างๆ พอจำแนกออกเป็นได้ ๒ ระยะ  คือระยะที่ ๑ เป็นกระบวนธรรมของขันธ์ทั้ง ๕ ทำงานประะสานเป็นเหตุปัจจัยของขันธ์ทั้ง ๕ ล้วนๆ ดังภาพ

ตา    กระทบกัน เช่น ตาเห็นรูป รูป  จักขุวิญญาณย่อมเกิดขึ้น  ผัสสะ  สัญญาจําได้ในรูป   เวทนา  สัญญาหมายรู้ (คิดอ่านในรูป)  สังขารขันธ์ 

         ส่วนระยะที่ ๒ เป็นผลที่เกิดขึ้นสืบเนื่องจากกระบวนธรรมของขันธ์ทั้ง ๕ ที่ทำงานประสานร่วมกันมาและสิ้นสุดกระบวนธรรมที่สังขารขันธ์หรืออารมณ์ต่างๆ  แล้วสังขารขันธ์อารมณ์นั้นไปเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดสัญเจตนาความคิดอ่าน ให้เกิดกรรม คือ การกระทำต่างๆขึ้น  ดังภาพ

anired06_next.gif จึงเกิดสัญเจตนา(เจตนา,ความจงใจ,ความคิดอ่าน) anired06_next.gif กรรม (คือ การกระทำทางกาย ทางวาจา หรือทางใจ(มโนกรรม) ต่างๆ) เป็นไปตามสัญเจตนาที่เกิดจากสังขารขันธ์]

 

        อีกทั้งขันธ์ทั้ง ๕ แบ่งอย่างหยาบ เป็นฝ่ายกายคือรูปขันธ์หรือร่างกาย  และฝ่ายจิตอันมี เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์

        เนื่องจากขันธ์ทั้ง ๕ มีความเนื่องสัมพันธ์กันอยู่ตลอดเวลาในขณะมีชีวิตอยู่ ดังนั้นทั้งฝ่ายกายและฝ่ายจิต ทั้งสองจึงต่างมีความเนื่องสัมพันธ์กันในขณะดำรงชีวิตอยู่ตลอดเวลาโดยธรรมชาติเช่นกัน ไม่มีใครไปหยุดไปห้ามเขาได้  พิจารณาได้จาก เมื่อจิตหรือใจเกิดความโกรธ ความกังวล ความกลัว ความหดหู่ ความเสียใจ ความโศรกเศร้า ฯ. ย่อมส่งผลถึงกาย กายเกิดอาการต่างๆของมันเองตามกระบวนธรรมโดยอัติโนมัติเช่นกัน เช่น หน้าแดง หน้าเขียว ความดันสูง หายใจถี่ ใจสั่น มือไม้กายสั่น รุ่มร้อน ไม่สบายกาย ปวดหัว ปวดท้อง ผิวพรรณเผือดหรือหมอง ฯ.และยังส่งผลต่อระบบต่างๆในร่างกายอีกอย่างที่คาดนึกไม่ถึงอีกด้วยทั้ง ระบบการย่อยอาหาร ระบบการหายใจ ระบบฮอร์โมนต่างๆ ก็ย่อมอยู่ในสภาพแปรปรวนไม่สมดุลย์ ฯ. จึงส่งผลให้กายไม่สมดุลย์ ไม่สดชื่น ไม่สดใส และอาจถึงขั้นเจ็บป๋วยด้วยโรคภัยต่างๆได้เช่นกันถ้ายิ่งได้สั่งสมไว้อยู่เสมอๆ  ถ้าเราพิจารณาโดยละเอียดและแยบคายก็จะสังเกตุเห็นความจริงข้อนี้ได้ ถึงธรรมชาติความสัมพันธ์ของขันธ์ ๕ ในฝ่ายกายและจิต แต่ก็อย่าลืมยังมีเหตุอื่นๆที่ทำให้เจ็บป่วยไข้ได้เช่นกัน เช่น เชื้อโรค สารพิษต่างๆ พันธุกรรม ฯ. ถ้าเป็นดังนี้ย่อมการต้องดูแลรักษาไปตามเหตุร่วมอีกด้วย (หากไม่ดูแลรักษาตามเหตุนั้นๆร่วมด้วยก็ย่อมเป็นโมหะความหลงด้วยอวิชชา)  เมื่อกายเจ็บป่วย ก็ย่อมส่งผลให้ใจหรือจิตไม่แช่มชื่น ไม่สดใส  ดังนั้นในกรณีตรงกันข้าม เมื่อจิตใจผ่อนคลายคือคลายจากทุกข์หรือปล่อยวาง หรือมีความสุขสบายใจ  กายก็ย่อมเกิดอาการตรงข้ามกับที่กล่าวไว้ข้างต้นเช่นกันโดยไม่รู้ตัวด้วย คือ เกิดการผ่อนคลายสบายกาย ไม่ตึงเครียด และย่อมส่งผลต่อระบบต่างๆในร่างกายให้สมดุลย์ทำงานเป็นไปอย่างปกติธรรมชาติโดยไม่รู้ตัว ซึ่งเป็นการดีอย่างที่คาดคิดไม่ถึงเช่นเดียวกัน  ส่วนกายที่ผ่อนคลายก็ย่อมส่งผลที่ดีต่อจิตเช่นกัน เป็นไปดังพุทธพจน์ เมื่อกายสงบ ย่อมพบสุข ขยายความ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นไปตามกระบวนธรรมของขันธ์  ซึ่งเราไม่สามารถไปควบคุมบังคับบัญชาการทำหน้าที่ต่างๆของเขาได้เลย แต่ล้วนเป็นไปตามเหตุปัจจัยเป็นธรรมดา เพราะธรรมชาติในการทำงานของขันธ์ ๕ มันเป็นเช่นนี้เอง

          ดังนั้น รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ล้วนอนิจจังไม่เที่ยง ทุกขังคงสภาพอยู่ไม่ได้ เป็นอนัตตา ไม่มีตัวตนจริง จึงควบคุมบังคับเขาไม่ได้เลย จึงยังคงเกิดขึ้นเป็นธรรมดา  ท่านจึงสอนให้อย่าไปอยาก ไปยึด อันคือตัณหา ด้วยจักเป็นทุกข์ในที่สุด,  ด้วยการไม่ไปยึดมั่น ถือมั่น ปล่อยวาง ไม่เอา หรือด้วยการอุเบกขาเสียนั่นเอง  

        เมื่อทราบความจริงยิ่งดั่งนี้แล้ว  จึงพึงรู้ว่า สุข ทุกข์ ยังคงมีเกิดขึ้นและดับไป...เป็นธรรมดาของขันธ์ ๕ หรือชีวิต  เพียงแต่ว่าเรามีหน้าที่พึงมีสติรู้เท่าทันในสิ่งที่ให้โทษต่างๆทั้งของสุขและทุกข์  แล้วอย่าไปต่อความยาวสาวความยืดหรืออุเบกขาเสียนั่นเอง  นี่คือความแตกต่างกันระหว่างปุถุชนและพระอริยเจ้า เพราะท่านดับวงจรของความทุกข์หรืออุปาทานขันธ์ ๕ ลงไปนั่นเอง จึงพึงกระทำได้  ดังคำสอนของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล เรื่องโกรธด้านล่างนี้นั่นเอง

 

ภาพแสดงกระบวนธรรมของขันธ์ทั้ง๕  ที่เกิดทุกข์หรือการคิดนึกฟุ้งซ่าน  จึงสามารถปรุงแต่งวนเวียนเป็นวงจรได้อย่างไม่รู้จบ

 

 

ธรรมข้อคิด

 

ขันธ์ ๕ ย่อมทำงานของเขาไปตามธรรมชาติ  ไม่มีใครหยุด หรือห้ามการทำงานของเขาได้ เพียงแต่มีสติ ระลึก รู้ แล้ว วาง ไม่ยึดมั่นถือมั่น ก็สามารถเป็นอิสระเหนือขันธ์ ๕ ได้ โดยวิธีนี้

หลวงพ่อเยื้อน ขันติพโล

มีผู้เรียนถามหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ว่า "ท่านยังมีโกรธอยู่ไหม?"

หลวงปู่ตอบสั้นๆว่า "มี  แต่ไม่เอา"   (อตุโล ไม่มีใดเทียม น.๔๖๑)

 หลวงปู่ดูลย์ อตุโล

Webmaster-หลวงปู่ตอบตามความสัจจริงอันยิ่งว่า "มี"  เหตุเพราะ "โกรธ" เป็นสังขารขันธ์อย่างหนึ่ง จึงเป็นไปของเขาเองตามเหตุปัจจัยของขันธ์ ๕ ของเขา ซึ่งบังคับบัญชาให้เป็นไปตามปรารถนาไม่ได้ จึงยังคง "มี" อยู่เป็นธรรมดา แม้ในครูบาอาจารย์ตลอดจนพระอริยะเจ้า,  ซึ่งปุถุชนมักคาดเดากันไปเองว่า"ไม่มี",  แต่หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ตอบอย่างชัดเจนว่า "มี" แต่ "ไม่เอา" ที่มีความหมายยิ่งถึง เมื่อสติระลึกรู้ว่าเป็นสังขารขันธ์อันให้โทษ(เช่น ความทุกข์ ความโกรธ ฯ.)แล้ว ท่านก็ปล่อยวาง ไม่ยึดถือ ไม่ยึดมั่น ไม่เอาไปปรุงแต่ง ทั้งปวงก็คือการอุเบกขาสัมโพชฌงค์เสียนั่นเอง  แต่นักปฏิบัติทั่วไปมักไปต้องการให้สังขารขันธ์ที่เป็นทุกข์หรืออกุศลสังขารขันธ์ทั้งหลายไม่ให้เกิดไม่ให้มีขึ้นเลย จึงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้  แต่สามารถมีสติรู้เท่าทันอกุศลสังขารขันธ์อันให้โทษ แล้วไม่เอาหรือการอุเบกขาเสียนั่นเอง เป็นสิ่งที่พึงกระทำได้ อกุศลสังขารขันธ์ทั้งหลายเช่นความทุกข์ ความโกรธ ฯ. ก็ย่อมต้องเสื่อมและดับไป

จำให้แม่น สังขารขันธ์ทั้งหลายยังคงมีอยู่ เช่น โกรธ โลภ หลง หดหู่ ฟุ้งซ่าน รำคาญใจ ทุกข์ใจ ฯ. เพราะเป็นขันธ์ทำงานตามหน้าที่เขา ข้อสำคัญอย่าพยายามไป"ละ"มัน คือพยายามไปดับมันหรือดิ้นรนไม่อยากให้มันเกิดขึ้น ด้วยเป็นตัณหาจึงเป็นทุกข์,   แต่ไม่เอา คือไม่ยึดถือ ด้วยการไม่เอาความคิดนึกต่างๆ(มโนกรรม)อันเกิดแต่สังขารขันธ์อารมณ์อันให้โทษนั้นไปปรุงแต่งต่อ หรือการอุเบกขาเสียนั่นเอง  สังขารขันธ์ทุกข์เหล่านั้นก็ย่อมเสื่อมดับไปเอง

อีกทั้งโกรธนี้ ก็ไม่เป็นอนุสัยคือปฏิฆานุสัย  เพราะเป็นไปในแค่ในระดับของขันธ์ ๕ อันเป็นวิสัยโลก  ไม่ใช่ในระดับอุปาทานขันธ์ ๕

 

ผู้เจริญวิปัสสนาทั้งหลาย เมื่ออายตนะภายในและภายนอกมากระทบกันเข้า มีความรู้สึกเกิดขึ้น(ทั้งจากเวทนาและสังขารขันธ์) ย่อมพิจารณาเป็นไตรลักษณญาณอย่างนี้ทุกขณะ ไม่ว่าอิริยบถใดๆทั้งหมด ถ้าพิจารณาจนชำนิชำนาญแล้ว มันจะเป็นไปโดยอัติโนมัติของมันเองมีความรู้เท่าตลอดเวลา จนเห็นว่าอารมณ์(ทางโลก)ทั้งปวง สักแต่ว่าอารมณ์ เกิดขึ้นมาแล้วก็ดับไปตามสภาพของมัน 

หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

มรดกที่ ๖๗. ก ข ก กา ของพุทธศาสนา มิได้ตั้งต้น ที่พระรัตนตรัย  แต่ตั้งต้น การศึกษาที่ การกระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ว่า ได้ก่อให้เกิด ตัณหา อุปาทาน แล้วเกิดทุกข์  ควบคุมการเกิดเหล่านี้ได้ ก็จะดับทุกข์ได้ แล้วก็จะมี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ขึ้นมา

จาก มรดกของท่านพุทธทาส

 

 

  หัวข้อธรรม

 

กลับหน้าเดิม