เพื่อความเข้าใจอันถูกต้อง |
|
เพื่อความเข้าใจอันถูกต้อง ในการโยนิโสมนสิการใน"ขันธ์ ๕" และ"ปฏิจจสมุปบาท" เพื่อการดับทุกข์
เพื่อ"ดวงตาเห็นธรรม"
เพราะ"ปฏิจจสมุปบาท"เป็นธรรมที่ทำให้พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ และมีพุทธดำรัสตรัสยืนยันไว้ดั่งนี้ว่า
"ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรม"
"ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต"
เนื่องจากผู้เขียนได้เขียนเว็บนี้มาเป็นเวลานานมากแล้ว มีผู้อ่านเป็นจำนวนมาก ข้อธรรมคำแนะนำตลอดจนการจำแนกแตกธรรมต่างๆอาจมีความย้อนแย้งหรือไม่สอดคล้องกันบ้าง ตามภูมิรู้ภูมิธรรมที่เกิดเพิ่มพูนขึ้นบ้างตามการโยนิโสมนสิการและกาลเวลา แต่ก็ล้วนอยู่ในแนวทางตามคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสำคัญทั้งสิ้น จึงอยู่ในแนวเดิมทั้งสิ้นเพียงแต่การจำแนกแตกธรรมอาจมีการขยายความตามความรู้หรือแก้ไขบ้าง ดังนั้นถ้ามีความย้อนแย้งกันประการใดในข้อเขียนใดๆก็ดี ก็ขอให้ยึดบทความนี้เป็นหลักในการพิจารณาเป็นสำคัญ
ก่อนอื่นขอกล่าวข้อธรรม ที่จะไปเนื่องกับความเข้าใจปฏิจจสมุปบาทบางข้อบางประการเสียก่อน
เวทนา การเสวยอารมณ์(สิ่งที่จิตกำหนดหมาย) เป็นความรู้สึกที่เกิดจากการรับรู้จากการผัสสะ คือ เป็นเครื่องมือของชีวิตในการ รับความรู้สึกที่เกิดจากรสสัมผัสจากการกระทบในสิ่งที่ผัสสะนั้นๆ เสวยอารมณ์จึงมีความหมายว่า การเสพรส(ชาด)ของสิ่งที่ผัสสะนั่นเอง, เมื่อรู้ในรสแล้วยังย่อมเกิดความรู้สึกต่างๆอีกด้วยเป็น สุขเวทนา ความรู้สึกที่ถูกใจ พอใจ ชอบใจ สบายกาย สบายใจ หรือความรู้สึกรับรู้ไปในทางดีๆหรือบวกๆจากการกระทบผัสสะนั่นเอง(เหตุที่ใช้ความรู้สึกในทางดีๆหรือบวกดังนี้ เพราะการสื่อสารเป็นภาษาคนนั้นยากอันอาจสับสน บางท่านอาจตีความไปซ้ำกับคำว่าตัณหาทำให้เกิดวิจิกิจฉาขึ้นได้) คือเกิดอาการถูกใจ,สบายกายใจในสิ่งที่กระทบคือผัสสะต่างๆจาก รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ จากการกระทบของตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ, หรือทุกขเวทนา ความรู้สึกไม่ถูกใจ ไม่พอใจ ไม่สบายกายใจ คือเกิดอาการไม่สบายกายใจจากสิ่งที่กระทบคือผัสสะต่างๆจาก รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์, หรืออทุกขมสุขเวทนาคือไม่สุขไม่ทุกข์ คือกลางๆหรือเฉยๆในสิ่งที่ผัสสะนั้นๆ (บางท่านนับว่า เป็นความสุขอย่างเบาๆอ่อนๆอีกด้วย ด้วยไม่สุขไม่ทุกข์เพราะไม่มีสิ่งรบกวนใจขณะนั้นๆนั่นเอง ก็นับว่าถูกต้อง), ดังนั้นเวทนาย่อมต้องเกิดขึ้นเมื่อมีการผัสสะทุกคราไป เพราะเป็นสภาวธรรมโดยธรรมชาติของชีวิต จึงต้องเป็นเช่นนี้เอง
ที่บางท่านอาจกล่าวว่าไม่จริง อาจไม่เกิดเวทนาขึ้นก็ได้ บางครั้งไม่มีอะไร ไม่เกิดเวทนา ที่เป็นดังนั้นในบางครั้งนั้นเป็นเพียงเพราะสติไม่ระลึกรู้ หรือสังเกตุไม่เห็น แท้จริงเป็นเพียงเพราะ"เวทนา" หรือ"อทุกขมสุขเวทนา"นั้นแผ่วเบา หรือสั่งสมจนเคยชินยิ่งเท่านั้นเอง จึงไม่ใส่ใจ เหมือนดั่งการสวมใส่เสื้อผ้าถ้าไม่สังเกตุโดยละเอียดหรือโดยใช้สติสังเกตุเมื่อกล่าวถึงแล้ว ตามปกติแล้วจะไม่รู้สึกถึงการผ้สสะในการกระทบกันของร่างกายกับเสื้อผ้าเลย ทั้งที่เกิดการผัสสะอยู่ตลอดเวลา จนมี"อทุกขเวทนา"อันแผ่วเบาและเคยชินเสียยิ่งกว่าการแก้ผ้าเสียอีก, หรือดั่งการหายใจเข้า-ออก, ส่วนเวทนามีอามีสคือเวทนาที่ประกอบด้วยกิเลส(ดังเวทนาในปฏิจจสมุปบาท), เมื่อเวทนาอันให้โทษดังเช่นเวทนามีอามีส หรือเวทนาอื่นๆอันเป็นโทษก็เช่นกัน เมื่อเกิดขึ้นท่านให้มีสติเท่าทันแล้วปล่อยวาง คืออุเบกขา หรือสักว่าเวทนา มันเป็นเช่นนี้เอง ซึ่งหมายถึงการดับเวทนานั่นเอง, การดับเวทนาจึงไม่ได้หมายถึงการไม่ให้เวทนาเกิดขึ้น หรือการหาทางไปพยายามดับมันตรงๆ ไม่ให้เกิด ไม่ให้เป็น ไม่ให้มีความรู้สึกถูกใจ,ไม่ถูกใจ,หรือเฉยๆแต่อย่างใด, เพราะเวทนาจัดเป็นธาตุ(ความเป็นธรรมชาติ,ตามธรรมชาติ)อย่างหนึ่ง เขาเพียงแต่ทำหน้าที่ของเขาด้วยความเป็นอนัตตาจึงยังคงมีอยู่เช่นนั้นเอง ไปบังคับเขาให้เป็นไปตามใจปรารถนาไม่ได้ ดังนั้นพึงมีสติระลึกรู้ว่า เวทนายังพึงเกิดขึ้นเป็นธรรมดา เป็นสบายใจบ้าง ไม่สบายใจบ้าง กลางๆบ้างเป็นธรรมดา แล้วก็จางคลายดับไปในที่สุด เป็นเช่นนี้เองเป็นธรรมดา จึงอย่าไปยึดหรืออยากให้เป็นตัณหา เหตุที่ต้องดับเวทนาที่มีอามิสคือเจือกิเลสนั้นเสียด้วยสติรู้เท่าทันและปัญญานั้นและอีกทั้งการอุเบกขา ด้วยเวทนาจะได้ไม่ไปเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดตัณหา(ซึ่งครอบคลุมถึงสังขารขันธ์ฝ่ายอกุศลต่างๆเช่นโทสะ โมหะ ราคะ หดหู่ ฟุ้งซ่าน ฯลฯ.) ดังมีกล่าวไว้ในปฏิจจสมุปบาท ด้วยเวทนาในปฏิจจสมุปบาทล้วนเป็นเวทนามีอามิสทั้งสิ้นอันเนื่องมาจากอาสวะกิเลสนั่นเอง
ตัวอย่างเช่น เมื่อทานอาหารที่ชอบ ก็จะเกิดความรู้สึกรับรสอาหารว่าอร่อย และยังแฝงด้วยความรู้สึกชอบ ความถูกใจ ความพอใจ คือสุขเวทนา พร้อมขึ้นมาด้วย
คิดเรื่องเป็นทุกข์ ก็จะเกิดความรู้สึกจากความคิดนั้นรับรู้รสชาดว่าเร่าร้อนใจ และย่อมแฝงด้วยความรู้สึกไม่ชอบ ไม่ถูกใจ ไม่พอใจ คือทุกขเวทนา พร้อมขึ้นมาด้วย
เจอหน้าคนไม่รู้จัก ก็จะเกิดความรู้สึกรับรู้รสในสิ่งที่กระทบนั้นว่า เฉยๆหรือเป็นกลาง จึงมีความรู้สึกเป็นกลางๆเฉยๆ ต่อสิ่งนั้น
ควรทำความเข้าให้ดี แม้แลดูง่ายแต่ปฏิบัติยากที่ให้มีสติรู้เท่าทันอีกทั้งเข้าใจแจ่มแจ้ง จึงต้องพิจารณาให้แจ่มแจ้งด้วยการโยนิโสมนสิการ เช่นว่าเกิดขึ้นมาแต่เหตุปัจจัยใด ทำไมจึงดับเวทนาชนิดไม่ต้องการให้เกิดขึ้นมาเลยจึงทำไม่ได้, ด้วยเวทนาเป็นตัวเหตุปัจจัยให้เกิดตัณหาอันเป็นทุกข์สืบเนื่องต่อไป ดังแสดงในวงจรปฏิจจสมุปบาท, ดังภาพต่อไปนี้ แสดงการเกิดของเวทนาว่า เกิดแต่เหตุปัจจัยอันใด คืออะไรเป็นเหตุ ที่มาเป็นปัจจัยแก่กันและกันจนเกิดเวทนาขึ้นทุกครั้งไป
รูป ตา
จักขุวิญญาณ
สัญญาจํา
เวทนา
แล้วดำเนินไปจนสิ้นกระบวนธรรมของขันธ์ทั้ง
๕ คือที่สังขารขันธ์
คืออาการต่างๆของจิตที่ไปปรุงแต่งจิตให้เกิดกรรม
ข้อสำคัญมีสติระลึกเท่าทันอยู่เนืองๆว่า เวทนาเป็นเช่นนี้เอง(ตถตา) ท่านจัดเวทนาว่าเป็นธาตุอย่างหนึ่ง คือความที่ทรงสภาวะอยู่อย่างนี้เป็นธรรมดา และเป็นอนัตตา ย่อมควบคุมบังคับให้เป็นไปตามปรารถนาไม่ได้ เป็นไปตามเหตุปัจจัย เช่นนี้เอง คือเป็นสภาวธรรมนั่นเอง จึงดับไปดื้อๆไม่ได้นั่นเอง ได้แต่รู้เท่าทันและเข้าใจ จึงปล่อยวางคืออุเบกขา คือการที่เรียกว่าดับเวทนานั่นเอง จะไปดับมันดื้อๆคือห้ามมันเกิด หรือเกิดแล้วให้ดับแบบดื้อๆจึงมิได้ ดังนั้นเมื่อเวทนาเกิดขึ้นพึงเท่าทันและเข้าใจว่า"มันเป็นเช่นนี้เอง" ไม่เป็นอื่น (เวทนานุปัสสนา) แล้วปล่อยวางหรืออุเบกขา มันจึงค่อยเสื่อมดับไป คงเหลือแต่เวทนากายอันย่อมต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัย แต่เวทนาใจที่ไปทำให้เกิดทุกข์ใจสืบเนื่องไปนั้นได้ดับไป
สังขารขันธ์ สภาพที่ปรุงแต่งใจให้ดีหรือชั่ว หรือกลางๆ หรือก็คือ อารมณ์ในทางโลก หรืออาการต่างๆของจิต มีความหมายคล้ายๆกันนั่นเอง ดังเช่น ราคะ โทสะ โมหะ หดหู่ สุข ทุกข์ อีกทั้งตัณหา(แสดง ตัณหาคือสังขารขันธ์อย่างหนึ่ง) ฯลฯ. ที่ย่อมเกิดขึ้นจากการปรุงจิตของสัญญาหมายรู้ที่สั่งสมอบรมไว้ต่อจากเวทนาที่เกิดขึ้น (ดังเช่น ธัมมสัญเจตนา, รูปสัญเจตนา ฯ.) เมื่อเกิดสังขารขันธ์แล้ว ก็ไปเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดสัญเจตนา คือเจตนาหรือคิดอ่านไปปรุงแต่งจิตให้เกิดการกระทำต่างๆ(กรรม)ขึ้น ดังรูปการทำงานหรือการเป็นเหตุปัจจัยกันของขันธ์ทั้ง ๕ อันเป็นสภาวธรรม(ชาติ)ของชีวิต จึงต้องเป็นเช่นนี้เองเป็นธรรมดา
รูป ตา
จักขุวิญญาณ
สัญญาจํา
เวทนา
สัญญาหมายรู้
สังขารขันธ์
และสังขารขันธ์
เกิดสัญเจตนา(เจตนาปรุงแต่งจิต)
กรรม (คือ
การกระทำทางกาย วาจา
หรือใจเช่น มโนกรรม]
อนัตตา ไม่มีตัวตน คือตัวตนที่แม้ว่า"เห็นได้"หรือ"ผัสสะต่างๆได้" เช่นจากการลูบคลำ จากกลิ่น จากรส จากความคิดนึก(ธรรมารมณ์) ฯ.ได้นั้นๆ แท้จริงแล้วล้วนไม่มีตัวไม่มีตน ของมันเองจริงๆ, ตัวตนที่เห็นหรือจากผัสสะใดๆได้จนเข้าใจว่าเป็นตัวตน หรือเป็นของตนนั้น ไม่ว่าจะเป็นจากการเห็น หรือมาจากการผัสสะด้วยอายตนะใดๆ(ตา หู....กาย อีกทั้งใจฯ.) แท้จริงขั้นปรมัตถ์คือตามความเป็นจริงขั้นสูงสุดแล้ว ตัวตนนั้นเป็นเพียงกลุ่มก้อน หรือมวลรวม(ฆนะ)ของเหล่าเหตุปัจจัยต่างๆที่ประชุมประกอบปรุงแต่งประกอบกันขึ้นขณะหนึ่งๆ จึงล้วนไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนของมันเองจริงๆ จึงครอบครองเป็นเจ้าของมันไม่ได้จริงๆ จึงควบคุมบังคับให้เป็นไปตามใจปรารถนาไม่ได้ เพราะแท้จริงขั้นสูงสุดแล้วล้วนเป็นเพียงการประกอบกันขึ้นของเหตุย่อยๆต่างๆ ที่เป็นองค์ประกอบย่อยๆมาปรุงแต่งกันขึ้นทั้งสิ้น ดังนั้นตามหลักอิทัปปัจจยตา จึงล้วนขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย จึงไม่ขึ้นอยู่กับใครๆหรือกับเราก็ตามที จึงย่อมไม่เป็นไปตามใจปรารถนาของใครๆแม้แต่เรา แต่ล้วนแปรปรวนเป็นไปตามเหตุต่างๆที่มาเป็นปัจจัยปรุงแต่งกันทั้งสิ้น, "ชีวิต"ก็เป็นเพียงการประกอบกัน หรือปรุงแต่งกันขึ้นของขันธ์ทั้ง ๕ เท่านั้น จึงแปรปรวนไปตามเหตุคือขันธ์ ๕ เท่านั้นเองตามหลักอิทัปปัจจยตา จึงไม่เป็นไปตามใจปรารถนาของใครๆแม้แต่เรา
ทุกขสัจจ์ หรือทุกข์ธรรมชาติ เป็นทุกข์ที่เกิดขึ้นกับทุกรูปนาม เป็นทุกข์ตามวิสัยของชีวิต เกิดกับทุกรูปนามหรือชีวิต ย่อมไม่สามารถหลีกหนีพ้น แต่ขาดเสียซึ่งความเร่าร้อนด้วยกิเลสของความยึดมั่นถือมั่นในกิเลสตน อันได้แก่ ความเกิด แก่(เจ็บ) ตาย ประสบสิ่งที่ไม่รัก พลัดพรากจากสิ่งที่รัก ปรารถนาในสิ่งใดไม่ได้ในสิ่งนั้น อีกทั้ง โสกะ ปริเทวะ ทุกข์กาย โทมนัส อุปายาส ทั้ง ๑๑ ยังคงมีอยู่เป็นธรรมดา
อุปาทานทุกข์ หรือทุกข์อุปาทาน ซึ่งก็คืออุปาทานขันธ์ ๕ ที่พระองค์ท่านกล่าวว่าเป็นทุกข์ เป็นทุกข์ที่ประกอบด้วยอุปาทาน จึงเร่าร้อนด้วยกิเลสของความยึดมั่นถือมั่นในกิเลสตน เป็นทุกข์ที่พระองค์ท่านทรงตรัสรู้และสั่งสอนให้ดับมันไปให้ได้นั่นเอง เป็นทุกข์ที่กล่าวถึงการเกิดและหมุนเวียนเป็นวงจรในปฏิจจสมุปบาท
วงจรปฏิจจสมุปบาท
แสดงเวทนา ตําแหน่งที่ควรรู้เท่าทัน ในการดับทุกข์ อีกทั้งที่องค์ ตัณหา ชาติ และชรา การดับไปนั้น หมายถึง ไม่เอา ไม่ยึดถือ ที่หมายถึง สติระลึกรู้เท่าทัน พร้อมทั้งปัญญา จึงไม่ยึดมั่นถือมั่นด้วยกิเลสตน คือปล่อยวาง หรืออุเบกขา คือสิ่งที่เรียกว่าดับไป ทำให้แม้ยังคงเกิดขึ้นตาม สภาวธรรม(ธรรมชาติ)แต่ไม่ไปเป็นเหตุปัจจัยให้ วงจรเกิดการดำเนินสืบเนื่องต่อไปจนเป็นทุกข์ นี้คือการดับไปที่แท้จริงถูกต้อง
|
สัญญาหมายรู้ สังขารขันธ์ [อันเป็นเพียงขันธ์๕ สภาวธรรมชาติ] แล้วถืออุเบกขา |
ขึ้นมาโดยธรรมชาติได้ อีกทั้งกิเลสจร อันมี รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อีกทั้งธรรมารมณ์ ที่จรมากระทบ เป็นเหตุปัจจัยจึงมี สังขาร สิ่งปรุงแต่ง อันย่อมเป็นสังขารกิเลส เพราะสังขารมีจึงเป็นเหตุปัจจัยจึงมี วิญญาณ หรือจิตหนึ่งขึ้นรับรู้ในสังขารนั้น เพราะวิญญาณมีจึงเป็นเหตุปัจจัยให้ นาม-รูป หรือชีวิตครบองค์ถูกเร้าตื่นตัวทำงาน จึงเป็นเหตุปัจจัยให้ อายตนะ ทั้งหลาย ตื่นตัวทำงานต่างๆตามหน้าที่ของตน จึงเป็นเหตุปัจจัยให้ครบองค์ ของการผัสสะ จึงเป็นเหตุปัจจัยจึงมี เวทนา........
|
ปฏิจจสมุปบาท
อาสวะกิเลส กิเลสสิ่งที่ทำให้จิตขุ่นมัว,เศร้าหมอง,รับคุณธรรมไม่ได้ ที่นอนเนื่องซึมซ่านย้อมจิต จากการสั่งสม เป็นสัญญาความจำอย่างหนึ่งแต่ตามปกตินอนเนื่องอยู่ ตกตะกอนนอนก้นอยู่ในจิต รอถูกกวนให้ฟุ้งกระจาย หรือวันกำเริบเสิบสานขึ้นมา เกิดจากการสั่งสมของทุกข์สุขที่ผ่านมาแต่อดีต อันมี โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส จากการมรณะคือดับไปของทุกข์นั่นเอง
อาสวะกิเลสอีกทั้งกิเลสที่จรมา ร่วมด้วย อวิชชา จึงเป็นเหตุปัจจัย จึงมี สังขาร
สังขาร อันเป็นองค์ธรรมหนึ่งในปฏิจจสมุปบาท มีความหมายถึง สิ่งปรุงแต่งคือสิ่งที่ถูกปรุงแต่งขึ้น(ไม่ได้หมายถึงสังขารขันธ์) แต่ในวงจรปฏิจจสมุปบาทนี้ สังขารปรุงแต่งย่อมประกอบด้วยกิเลสจากอาสวะกิเลสคือสัญญาอย่างหนึ่งที่นอนเนื่องซึมซาบย้อมจิต อีกทั้งร่วมด้วยอวิชชา ความไม่รู้ความจริง, และสังขารย่อมผุดนึกผุดจำขึ้นมาได้เป็นธรรมดาหรือเป็นวิสัยของชีวิต จึงเป็นสังขารเจือกิเลส หรือสังขารกิเลสนั่นเอง และสังขารปรุงแต่งนี้เบื้องต้นเป็นเพียงแค่เหตุ (ยังไม่ได้เป็นปัจจัยกับสิ่งใด) จากการเกิดขึ้นกับใจเดิมของชีวิต แท้จริงจึงยังไม่มีการรู้แจ้งใดๆในสังขารที่กระทบนั้น
หรือ สังขาร เกิดจากการส่งจิตออกไปปรุงแต่ง(ในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์) จึงเป็นเหตุปัจจัยร่วมกับอาสวะกิเลสและอวิชชา จึงเกิดสังขารกิเลสขึ้นได้เช่นกัน
หรือ สังขาร เกิดจากอายตนะภายนอกต่างๆเช่น รูป เสียง กลิ่น ฯ. ในการดำเนินชีวิตที่เป็นกิเลสจรมากระทบ เมื่อร่วมด้วยอาสวะกิเลสและอวิชชา จึงเกิดสังขารกิเลสขึ้นเช่นกัน
สรุปการเกิดของสังขารปรุงแต่งนั้น เกิดขึ้นได้จากการผุดนึกผุดจำขึ้นได้มาเองโดยวิสัยหรือธรรมชาติของชีวิต ๑ จากการส่งจิตออกนอกไปฟุ้งซ่าน(อุทธัจจะ)ปรุงแต่ง ๑ จากการที่อายตนะภายนอกจากการดำเนินชีวิตจรมากระทบ ๑
สังขาร เป็นเหตุปัจจัย จึงมี วิญญาณ
วิญญาณ อันเป็นองค์ธรรมหนึ่งในปฏิจจสมุปบาท เกิดขึ้นจากสังขารข้างต้นเป็นเหตุปัจจัย จึงเกิดจิตที่รู้(แจ้ง)ในสิ่งที่มากระทบคือสังขารกิเลสข้างต้นนั้น เป็นสภาวธรรมในการทำงานของชีวิตหรือวิสัยของชีวิต ที่ย่อมเกิดจิตหรือวิญญาณหนึ่งขึ้นรับรู้ในสิ่งที่กระทบเป็นธรรมดา จึงเกิด มโนวิญญาณ หรือจักขุวิญญาณ หรือโสตวิญญาณ ฯ. คือ เกิดการรู้แจ้งในองค์ธรรมสังขารที่เกิดขึ้นข้างต้น เป็นวิญญาณของอายตนะนั้นๆ ดัง มโนวิญญาณ จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฯ. เป็นธรรมดาของชีวิต เป็นสภาวธรรม ไม่เป็นอื่นไปได้
วิญญาณ เป็นเหตุปัจจัย จึงมี นาม-รูป
นาม-รูป อันเป็นองค์ธรรมหนึ่งในปฏิจจสมุปบาท มีความหมายถึง การทำงานของชีวิตหรือรูปนาม ที่หมายถึง รูปนามหรือชีวิตที่อยู่ในสภาพยังนอนเนื่องอยู่(เหมือนเครื่องยนต์หรือรถยนต์อยู่ในสภาวะ idle คือแม้ทำงานอยู่แต่อยู่ในสภาพเดินเบา รอการกระตุ้นจากการเร่งเครื่องให้ทำงานจริงๆคือทำให้ขับแล่นออกไปได้) ได้ถูกกระตุ้นเร้าปลุกจากวิญญาณข้างต้นที่เกิดจากสังขาร จึงทำให้รูปนามเกิดการตื่นตัวขึ้นพร้อมทำการทำงานต่างๆของรูปนามหรือชีวิตอย่างเต็มที่นั่นเอง (อุปมาเหมือนดั่งรถยนต์ที่เร่งเครื่องขึ้นเพื่อทำงานจริงๆคือการขับแล่นไปนั่นเอง) (โดยปกติรูปนามหมายถึงขันธ์ทั้ง ๕ คือชีวิตอันเป็นรูปธรรม แต่ในปฏิจจสมุปบาทท่านใช้นาม-รูป ที่มีความหมายทางนามธรรม จึงหมายถีง การทำงานหรือการทำหน้าที่ของรูปนาม)
นาม-รูป เป็นเหตุปัจจัย จึงมี สฬายตนะ
สฬายตนะ อันเป็นองค์ธรรมหนึ่งในปฏิจจสมุปบาท มีหมายถึงการตื่นตัวคือถูกกระตุ้นเร้าขึ้นทำการงานต่างๆตามหน้าที่ตนของอายตนะภายในต่างๆนั้นตามรูปนามหรือชีวิตที่ตื่นตัวขึ้นแล้ว คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจทั้ง ๖ ตื่นตัวจากการนอนเนื่องเช่นกันและพร้อมที่จะทำหน้าที่ต่างๆของตนตามหน้าที่ตน คือ ตาทำหน้าที่รับในรูป หูทำหน้าที่ต่างๆรับในเสียง.....ใจทำหน้าที่รับธรรมารมณ์ ฯ. อันเกิดจากสังขารข้างต้นที่มากระทบ (โดยปกติท่านใช้อายตนะอันเป็นรูปธรรม หมายถึง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แต่ในปฏิจจสมุปบาทท่านใช้"สฬายตนะ"ที่สื่อทางนามธรรมแสดงถึง การทำหน้าที่หรือการงานของอายตนะภายใน)
กล่าวคือ ถ้าสังขารกิเลสข้างต้นเกิดขึ้นจากอาสวะกิเลส ดังเช่น เกิดขึ้นจากการคิดคือธรรมารมณ์ระลึกรู้ หรือผุดคิด,ผุดนึกขึ้นมา อายตนะ"ใจ"ก็จะเข้าทำหน้าที่การงานนั้น ตามหน้าที่อันควรของตน
แต่ถ้าสังขารกิเลสเกิดจาก"รูป"ดังเช่น จากกิเลสจรที่จรมาในการดำเนินชีวิต "ตา"ก็จะทำหน้าที่การงานนั้น
ถ้าสังขารกิเลสข้างต้นเกิดจาก"เสียง" จากกิเลสที่จรมากระทบ เช่น เสียงนินทาว่าร้าย อายตนะ"หู"ก็จะรับทำหน้าที่นั้น.........เป็นไปดังนี้
สฬายตนะ เป็นเหตุปัจจัย จึงมี ผัสสะ
ผัสสะ เมื่อครบองค์ ๓ เรียกว่าผัสสะหรือสัมผัส คือ การประจวบกันของ อายตนะภายนอก๑ เช่น รูป เสียง..ธรรมารมณ์ความคิดนึกต่างๆ(จากองค์"สังขาร") ฯ. กับอายตนะภายใน๑ เช่น ตา หู...ใจ(จากองค์"สฬายตนะ") อีกทั้งการเกิดขึ้นวิญญาณ(จากองค์"วิญญาณ")๑ พระองค์ท่านเรียกการประจวบกันของธรรมทั้ง ๓ ว่าเกิดการ"ผัสสะ"หรือไทยใช้ว่า"สัมผัส" คือ เกิดครบองค์ของการทำงานของชีวิตในการรับรู้สื่อสารกับสิ่งต่างๆของโลก ผ่านทางอายตนะภายในทั้ง ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ นั่นเอง คือ เกิดผัสสะ ๖ จากอายตนะต่างๆข้างต้นขึ้น เช่นเกิด มโนผัสสะ(มโนสัมผัส), จักขุสัมผัส, โสตสัมผัส ฯ.
ผัสสะ เป็นเหตุปัจจัย จึงมี เวทนา
เวทนา จึงเกิดเวทนาคือการเสวยอารมณ์(สิ่งที่จิตกำหนดหมาย เช่น สิ่งปรุงแต่ง(องค์"สังขาร") ดังเช่นความคิด หรือรูป(สิ่งที่เห็น)นั้นๆ) หรือเสียงนินทาต่อว่า ที่เมื่อเสวยแล้วย่อมมีความรู้สึกเป็น สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา อย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นเป็นธรรมดาของชีวิตหรือรูปนาม(วิสัยของชีวิต) และเวทนาที่เกิดขึ้นนี้ย่อมเป็นเวทนามีอามีสเป็นธรรมดา เพราะเกิดสืบเนื่องมาจากอาสวะกิเลสที่แฝงนอนเนื่องในจิตที่กำเริบขึ้นซึมซ่านย้อมจิตโดยไม่รู้ อีกทั้งจากอวิชชา ดังเช่น เมื่อเกิดสุขเวทนาก็เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดตัณหาคือราคะ หรือโลภะ โทสะขึ้น, หรือเมื่อเกิดทุกขเวทนาก็เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดตัณหาคือ โทสะ หดหู่ หรือโมหะขึ้น , หรือเมื่อเกิดอทุกขมสุขเวทนาเป็นกลางๆเฉยๆก็ประมาทไปฟุ้งซ่านปรุงแต่งจนเกิดเวทนา,ตัณหาแบบต่างๆขึ้นจนได้ในที่สุด เหตุที่เวทนาในวงจรปฏิจจสมุปบาทเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดตัณหาเท่านั้นแทนที่จะเกิดสังขารขันธ์ปกติธรรมดาคือไม่ได้ประกอบด้วยกิเลสหรือเป็นกุศลสังขารขันธ์ ก็ดังที่กล่าวอยู่เนืองๆว่า เป็นเพราะเวทนาในวงจรปฏิจจสมุปบาทล้วนแฝงด้วยกิเลสจากอาสวะกิเลสและอวิชชา จึงล้วนเป็นเวทนามีอามีสคือแฝงกิเลสทั้งสิ้น จึงเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดสังขารขันธ์ฝ่ายอกุศล คือ ตัณหา แต่ฝ่ายเดียว, แต่ถ้าเป็นเวทนาโดยทั่วไปในขันธ์ ๕ เวทนาที่เกิดขึ้นนั้นอาจเป็นปัจจัยให้เกิด"กุศลสังขารขันธ์"ที่ไม่ประกอบด้วยอกุศลก็ได้ หรืออาจเกิดสังขารขันธ์ฝ่ายอกุศลคือตัณหาอีกก็ได้เช่นกัน
เวทนา เป็นเหตุปัจจัย จึงมี ตัณหา
ตัณหา ความปรารถนา ความใคร่ หรือความทะยานอยาก ในปฏิจจสมุปบาทและอริยสัจจ์นั้น จะตีความเพียงแค่นี้แบบทางโลกๆทั่วไปไม่ได้โดยเด็ดขาด เพราะแท้จริงแล้วมีความหมายครอบคลุมถึงสังขารขันธ์ฝ่ายอกุศลทั้งหมด ที่สามารถทำให้เกิดทุกข์ขึ้นได้ จึงครอบคลุมทั้ง ราคะ โทสะ โมหะ หดหู่ ฟุ้งซ่าน ริษยา กลัว กังวล ฯลฯ., ตัณหาที่มีความหมายว่า ความต้องการให้เป็นไปตามใจปรารถนาของตน จึงไม่ใช่เพียงแต่ความปรารถนา ความทะยานอยาก หรือความไม่อยากต่างๆ ที่เกิดจากเวทนาการเสวยอารมณ์เพียงเท่านั้น แท้จริงอย่างปรมัตถ์จึงครอบคลุมถึงเหล่าอกุศลจิตทั้งปวงนั่นเอง ดังเช่น อยากได้แต่ไม่ได้จึงเกิดตัณหาคือโลภะ หรืออาจเกิดความหลงผิด(โมหะ), เมื่อไม่อยากได้แต่ผลออกมาตรงข้ามจึงเกิดตัณหาคือโทสะ, หรือความหลงผิด(โมหะ)จึงเกิดความกลัว กังวล ริษยา ฯ., มีความใคร่จึงเกิดราคะ ฯลฯ.ต่างๆ ซึ่งแท้จริงแล้วก็คือตัณหาทั้งสิ้นนั่นเอง หรือเรียกง่ายเพื่อให้เข้าใจได้ว่า อารมณ์ในทางโลกฝ่ายอกุศลต่างๆ หรืออาการต่างๆของจิตฝ่ายอกุศลนั่นเอง (แสดงทำไม ตัณหาคือสังขารขันธ์ฝ่ายอกุศล) กล่าวคือเมื่อเกิดเวทนาอันเป็นสภาวธรรมชาติเกิดขึ้นแล้ว ย่อมเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดความรู้สึกรับรู้ในสิ่งที่ผัสสะเป็นสุข เป็นทุกข์ เมื่อสุขก็เกิดความปรารถนา ความยินดี ความอยากได้ อยากมี อยากเป็น เมื่อทุกข์ก็ไม่ปรารถนา ไม่อยากให้เกิดขึ้น ไม่อยากให้เป็นไป เกิดความยินร้าย ฯ. เป็นอกุศลสังขารขันธ์หรืออกุศลจิตต่างๆดังที่กล่าว คือ โทสะ โมหะ โลภะ ราคะ ฟุ้งซ่าน หดหู่ ฯลฯ. ซึ่งเมื่อเกิดความปรารถนาต่างๆดังนี้ จิตจึงเกิดต้องคิดอ่านหรือเจตนาก็เพื่อต้องการให้ได้รับการเสนอสนองตามความปรารถนาของตน จึงเกิดอุปาทานความคิดอ่านหรือเจตนาเพื่อให้สัมฤทธิ์ผลดังต้องการขึ้น
เมื่อเกิดสุขเวทนา ก็เกิดความชอบใจ ติดใจ จึงเกิดตัณหาความอยากได้ อยากมี อยากเป็น เช่นโลภะ ราคะ ฯ., เมื่อเกิดทุกขเวทนา ก็ไม่ชอบใจ ไม่ยินดี ก็เกิดอาการผลักไส ไม่ยินดี ไม่ปรารถนา ก็คือเกิดตัณหาความหลงคือโมหะ หรือโทสะ ฯ., เมื่อเกิดอทุกขมสุขเวทนา แม้เฉยๆก็ประมาทไปฟุ้งซ่านจนเกิดสุขเวทนาหรือทุกขเวทนาขึ้นในที่สุด ด้วยเหตุเช่นดังกล่าวนี้ จึงเป็นเหตุปัจจัยจึงมีอุปาทาน ความคิดอ่านหรือเจตนาเพื่อให้เกิดการตอบสนองต่อความปรารถนาของตนที่เกิดขึ้น
ตัณหา เป็นเหตุปัจจัย จึงมี อุปาทาน
อุปาทาน มีความหมายถึง ความยึดมั่นถือมั่นตามอำนาจกิเลสตน หรือคำนิยามที่ได้ยินกันบ่อยๆจากท่านพุทธทาสที่ใช้ว่า"ตัวกู ของกู" จึงหมายถึง เครื่องปรุงจิตคือ สิ่งที่ไปปรุงจิตให้คิดอ่านหรือเจตนา(อุปาทานจึงเป็นสัญเจตนาฝ่ายอกุศลนั่นเอง)ให้ความคิดเห็นหรืออยากให้เป็นไปตามกิเลสของตน จึงยังให้เกิดการกระทำ(กรรม)ชั่วเป็นอกุศล ออกมาได้ทั้งทางกาย วาจา และใจ, จึงยังให้ขันธ์ที่เกิดคือสังขารขันธ์ฝ่ายอกุศล(ตัณหา)ข้างต้น ประกอบคือหลอมรวมหรือตกอยู่ใต้อำนาจของอุปาทานที่มีอยู่, ขันธ์ ๕ ทั้งปวงที่ปกติจะทำการงานต่างๆประสานกันตามหน้าที่อันเป็นวิสัยของชีวิต จึงเกิดการแปรปรวนคือเปลี่ยนไปเป็นอุปาทานขันธ์ ๕ ดังเช่น ส่วน"รูป"แปรเป็น"รูปูปาทานขันธ์", ส่วน"เวทนา"แปรเป็น"เวทนูปาทานขันธ์", "สัญญา"ก็แปรเป็น"สัญญูปาทานขันธ์"....ฯ., ซึ่งพระองค์ท่านได้ตรัสสรุปโดยชัดเจนดีแล้วไว้ในอริยสัจจ์ ๔ ในเรื่อง"ทุกข์"ไว้ว่า "โดยสรุป เรากล่าวว่า อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์" นั่นเอง, อุปาทานมีอยู่ ๔ แบบคือ
๑.กามุปาทาน อุปาทานคือ กิเลสสิ่งขุ่นมัวที่ไปปรุงจิตหรือขันธ์ ให้เห็นเป็นไปตามความชอบชังของตัวตนในกามทั้ง ๕ คือใน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส จึงเป็นบ่อเกิดของความเร่าร้อนด้วยกิเลสในกามทั้ง ๕ ด้วยความอยาก หรือไม่อยาก ด้วยความปรารถนา หรือความไม่ปรารถนาให้เกิดให้เป็น ในสิ่งต่างๆเหล่านั้นให้เห็นเป็นไปตามความชอบความชังของตน คือเป็นไปตามความต้องการหรือตามใจปรารถนาของตน จึงเป็นเหตุให้เกิดความริษยาหรือหวงแหน ลุ่มหลง เข้าใจผิด ทำผิด ฯลฯ. เนื่องด้วยตัณหาความกำหนัดในสิ่งต่างๆเหล่านั้นด้วยอำนาจของกิเลส
๒.ทิฏฐุปาทาน กิเลสที่ปรุงจิตให้เห็นหรือเป็นไปตามความยึดมั่นถือมั่นในทิฏฐิ คือ ลัทธิ หลักความเชื่อ ความเข้าใจ ความคิดเห็น ทฤษฏี กล่าวคือปรุงจิตให้มีความคิดเห็นหรือเจตนาให้เป็นไปตามความยึดมั่นถือมั่นตามความเชื่อของกิเลสตน ที่บางความเชื่อความเข้าใจฝังรากลึกมาตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ คือปรุงจิตให้เกิดเจตนาหรือคิดอ่านที่จะให้เห็นอีกทั้งเป็นไปตามความคิดเห็นหรือเชื่อมั่นถือมั่นของตน เช่น ชอบชังบุคคลใด บุคคลนั้นก็มักถูกต้องน่ารักน่าใคร่ดีงาม หรือน่าเกลียดน่าชังหรือชั่วร้ายไปตามทิฏฐิความเห็นของตนแต่อย่างเดียวอย่างงมงายโดยขาดปัญญาขาดการพิจารณา หรือเชื่อว่าต้องเป็นอย่างนั้นๆแล้วด็ ก็เชื่ออย่างหัวปักหัวปำอย่างงมงายขาดเหตุขาดผลขาดการพิจารณา ไม่รับฟังเหตุผล ไม่พิจารณา ถึงแม้รับฟังใดๆก็ไม่ปฏิเสธไม่เชื่อ ดังเช่น เชื่อว่าบุคคลนั้นๆว่าดีงามทั้งๆที่ตรงข้ามกับความจริง ความเชื่อเรื่องคล้องพระเพื่อความคงกระพัน เพื่อโชคลาภ, กล่าวคือ หัวปักหัวปำเชื่อในความเชื่อต่างๆที่ตนมีอยู่ ที่หมายถึงงมงาย, งมงายในบุคคลหรือสิ่งของต่างๆจนขาดเหตุผลเพราะขาดการพิจารณาด้วยปัญญา, เชื่อในครูบาอาจารยแต่์อย่างงมงาย ขาดสติ จึงขาดการพิจารณาตามที่พระองค์ท่านสอนในหลักกาลามสูตร ข้อที่ ๑๐ ที่สอนว่า "อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้ เป็นครูของเรา", ไปยึดมั่นถือมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆในสิ่งที่เกินกำลังตน หรือไม่สามารถกระทำได้ ฯลฯ. ทั้งสิ้นล้วนเป็นไปตามความเข้าใจความเชื่อของตนเป็นสำคัญ
๓.สีลัพพตปาทาน กิเลสที่ปรุงจิตให้ยึดมั่นถือมั่นให้เห็นเป็นไปตามศีล(ข้อบังคับ) วัตร(ข้อปฏิบัติ)อย่างงมงาย จึงผิด เช่น โดยเชื่อว่าจะบริสุทธิ์หลุดพ้นได้ด้วยศีลและวัตรเพียงอย่างเดียวก็เพียงพอ จึงขาดการพิจาณา ขาดการวิปัสสนา จึงทำแต่บุญกุศลแต่ฝ่ายเดียว, หรือมีความเชื่อว่าปฏิบัติสมาธิแล้วปัญญาจะผุดเกิดขึ้นมาเองจึงขาดการเจริญปัญญาคือวิปัสสนาหรือการโยนิโสมนสิการเพื่อให้เกิดปัญญา หรือเชื่อว่าปฏิบัติสมาธิให้แก่กล้าแล้วปัญญาสามารถเกิดขึ้นได้ โดยขาดการพิจารณา โดยไม่รู้ว่าสมาธิเป็นเพียงเหตุปัจจัยเครื่องหนุนปัญญา ไม่รู้ไม่ยอมไม่เข้าใจว่า ต้องมีการโยนิโสมนสิการหรือธรรมวิจยะเพื่อให้เกิดปัญญา จึงเกิดวิมุตติแท้จริงที่ไม่กลับกลายขึ้นได้ ฯลฯ. จึงมุ่งแต่ปฏิบัติในศีลและวัตร ทำแต่บุญกุศลต่างๆไปอย่างมากมายจนงมงาย แม้ได้บุญตามนั้นก็จริงอยู่ แต่อย่าหวังหลุดพ้นจากทุกข์ หรือบริสุทธิ์หลุดพ้นไปได้, ได้เพียงบุญความยินดี หรือมีความหวังอยู่แบบซ่อนลึกว่าจะไปเกิดในภพภูมิที่ดียิ่งๆขึ้นไป, หรือทุกข์ โศก โรคภัย ฯ. จะได้ไม่กล้ำกราย, หรือเข้าใจว่าจะล้างบาปล้างกรรมนั้นๆได้เพราะถือศีลว้ตร
๔.อัตตวาทุปาทาน กิเลสที่ปรุงจิตให้ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆว่าเป็นตัวตน หรือเป็นของของตนจริง เกิดจากการสั่งสมจากการพูดจา(วาทะ)ต่างๆเพื่อใช้ในการสื่อสารทางโลก อันเป็นวิสัยของชีวิต มาแต่เกิด เพื่อแสดงสถานะในทางโลกหรือแก่ใครๆว่าเป็นตัวตน(อัตตา) หรือว่าเป็นของตน จนจิตหลงเชื่อ,หลงไปยึดโดยไม่รู้ตัว จนเห็นเป็นจริงเป็นจัง ฝังจดจำเป็นสัญญาความจำมาตั้งแต่น้อยจนเติบใหญ่โดยไม่รู้ตัวอย่างมั่นคง จึงเกิดการยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆว่าเป็นตัวตน หรือว่าเป็นของตนจริงๆขึ้นโดยไม่รู้ตัวจากการสื่อสาร จึงมองไม่เห็นธรรม ดังเช่น สมัยเด็กก็เริ่มแสดงความเป็นเจ้าของ เช่น ตัวฉัน นั่นนมฉัน นั่นของเล่นฉัน นี่แม่ฉัน จนเติบใหญ่ นั่นของฉัน นี่ทรัพย์สมบัติฉัน นี้ชื่อเสียงฉัน เกียรติยศ ของของฉัน เงินฉัน บ้านฉัน รถฉัน ลูกฉัน เมียฉัน แฟนฉัน ฯลฯ. เป็นไปดังนี้ตราบจนวันตาย
อุปาทาน เป็นเหตุปัจจัย จึงมี ภพ
ภพ
โลกเป็นที่อยู่ของสัตว์, ในปฏิจจสมุปบาทจึงมีความหมายถึง สิ่ง(ที่อยู่ ที่เป็น
ชนิดของโลกหรือสถานะของโลก)ที่ตนเลือกอาศัยอยู่ หรือสภาวะหรือสถานะของชีวิตตนที่อาศัยอยู่ในขณะนั้น ในปฏิจจสมุปบาท
แบ่งเป็น ๓ ภพ คือ ตามที่อยู่ที่อาศัยของกิเลสแบบต่างๆ คือ กามภพ๑ รูปภพ๑ และอรูปภพ๑ จึงเกิดการเป็นอยู่,การกระทำต่างๆตามภพที่ตนเข้าไปยึดอาศัยอยู่ในขณะนั้นๆ
(เทียบเคียงได้กับกรรม(การกระทำต่างๆ)ในขันธ์ ๕) แต่ในภพของวงจรการเกิดขึ้นของทุกข์นี้ย่อมประกอบด้วยทั้งตัณหา
อุปาทานแล้ว
เช่น จึงเกิดการกระทำ(กรรม) หรือการดำเนินชีวิตไปตามภพนั้นๆ เช่น
๑.กามภพ คือดำเนินสภาวะชีวิตคือเกิดกรรมหรือการกระทำต่างๆทั้งทางกาย วาจา และใจ ไปในกามทั้ง ๕ ตามกิเลสตน คือ อุปาทานยึดมั่นตามความชอบชังของตัวตนในกามทั้ง ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส
๒.รูปภพ ก็ดำเนินไปในสภาวะรูปฌาน หรือรูปอันวิจิตร เช่น การกระทำต่างๆในรูปฌาน คือ มีความสุข สงบ เย็นฉ่ำ ฯ. อันชวนให้ติดเพลิน ซึ่งเกิดแต่อำนาจของรูปฌาน, หรือใน"รูปอันวิจิตร"ต่อตน เช่น ลูก สามี ภรรยา แฟน สิ่งที่วิจิตรหลงไหลหลงรักจนหัวปักหัวปำทั้งหลาย ฯลฯ.,
๓.อรูปภพ คือ กรรมในสภาวะของอรูปฌาน คือ ความสุข สงบ ฯ. อันวิจิตรยิ่งกว่ารูปฌานเสียอีก จึงติดเพลิน อันเกิดจากอำนาจของอรูปฌาน หรือใน"อรูปอันวิจิตร" เช่น ชื่อเสียง เกียรติยศ อำนาจ คำสรรเสริญ ฯลฯ. คือในอรูปอันวิจิตรทั้งหลาย ทั้งธรรมมารมณ์ต่างๆอีกด้วย
(ภาพประกอบการเทียบเคียงกระบวนธรรมของขันธ์ ๕ และกระบวนธรรมของวงจรปฏิจจสมุปบาท ซึ่งทั้ง ๒ ต่างล้วนเป็นกระบวนธรรมของจิตหรือขันธ์ทั้ง ๕ โดยการอาศัยความเป็นเหตุปัจจัยของขันธ์ทั้ง ๕ เพียงแต่ฝ่ายกระบวนธรรมของขันธ์ ๕ เป็นการแสดงความเป็นไปเพื่อการดำเนินชีวิตปกติธรรมดา แต่ปฏิจจสมุปบาทเป็นกระบวนธรรมของจิตโดยขันธ์ทั้ง ๕ ที่ทำให้เกิดทุกข์ เพราะสังขารขันธ์ได้แปรเป็นสังขารขันธ์ฝ่ายอกุศลคือตัณหา แต่มีพื้นฐานและหลักการในลักษณาการเดียวกัน พระอริยเจ้าหลายท่านจึงกล่าวว่าเข้าใจขันธ์ ๕ ได้แจ่มแจ้งย่อมเข้าใจเห็นปฏิจจสมุปบาทธรรมได้ดี) กระบวนธรรมนี้เหมือนกันหมดทุกรูปนาม ทุกชาติภาษา เป็นสภาวธรรมชาติที่พระองค์ท่านทรงตรัสรู้ ไม่มีใครนอกเหนือไปจากกฏเกณฑ์ธรรมชาตินี้ได้, บางท่านอาจกล่าวว่าไม่จริง ก็เกิดจากความที่ไม่รู้ความจริงเท่านั้นเอง ต้องเร่งศึกษาโยนิโสมนสิการให้แยบคาย
ดังหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ได้กล่าวเรื่องขันธ์ ๕ และปฏิจจสมุปบาทไว้ดังนี้่
"...........ที่จริงพระอรหันต์ทั้งหลายท่านไม่ได้รู้อะไรมากมายเลย เพียงแต่เจริญจิตให้รู้ในขันธ์ ๕ แทงตลอดในปฏิจจสมุปบาท หยุดการปรุงแต่ง หยุดการแสวงหา หยุดกริยาจิต มันก็จบแค่นี้ เหลือแต่ บริสุทธิ์ สะอาด สว่าง มหาสุญตา ว่างมหาศาล (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล)
ภพ เป็นเหตุปัจจัย จึงมี ชาติ
ชาติ คือ การเกิดขึ้นของทุกข์ เมื่อมีภพที่อยู่ที่อาศัยแล้ว จึงมีการเกิด แต่เป็นการเกิดขึ้นของทุกข์ คือการเริ่มเกิดขึ้นของอุปาทานขันธ์อันเป็นทุกข์ หมายถึง ขันธ์ ๕ ที่ส่งผลให้เกิดกรรมการกระทำต่างๆขึ้นจากภพในข้างต้นนั้น ที่ล้วนถูกครอบงำหรืออยู่ใต้อำนาจของอุปาทาน จึงเป็นเหตุปัจจัยให้มโนกรรมคือการกระทำทางใจเช่นความคิดนึกจึงถูกครอบงำด้วยอุปาทานเช่นกัน คือเกิดมโนกรรมการคิดนึกที่ถูกครอบงำด้วยด้วยกิเลสหรืออุปาทานแล้ว ที่จะไปทำหน้าที่ คือดำเนินกระบวนธรรมต่อไปโดยทำหน้าที่เป็น"ธรรมารมณ์"(สิ่งที่รู้ได้ด้วยใจเช่นความคิดนึกต่างๆ)ใน"ชรา" ที่ประกอบด้วยอุปาทาน[ความคิดนั้นซึ่งทำหน้าที่เป็นรูป(สิ่งที่ถูกรู้)แต่แปรเป็น"รูปูปาทานขันธ์"คือรูปที่ประกอบด้วยอุปาทาน ในการเริ่มขึ้นของวงจร"ชรา"] หรือการเริ่มเกิดขึ้นของสังสารวัฏคือการเกิดการเวียนว่ายวนเวียนแปรปรวนในกองทุกข์คือ"ชรา"อันเร่าร้อนด้วยไฟกิเลสของตัวตน
จึงกล่าวได้ว่า มโนกรรม(ความคิดที่เกิดจากผลของการทำงานของขันธ์ทั้ง ๕)ที่ประกอบด้วยกิเลสของตัวตน(อุปาทาน)ใน"ชาติ"นี้แหละ คือ การเริ่มเกิดขึ้นของทุกข์ เป็นมโนกรรมฝ่ายอกุศล การเกิดขึ้นของทุกข์ หรือการเวียนว่ายในกองทุกข์อันเร่าร้อน จึงเริ่มเกิดมีด้วยประการฉะนี้
ชาติ เป็นเหตุปัจจัย จึงมี ชรา มรณะ โสกะ ปริเทว ทุกข์ โทมนัส อุปายาส
ชรา ในปฏิจจสมุปบาทมีความหมายถึง การแปรปรวน การเปลี่ยนแปลง อันยังให้ทรุดโทรม จึงหมายถึง การแปรปรวนเปลี่ยนแปลงอีกทั้งวนเวียนเป็นวงจรของขันธ์ทั้ง ๕ กล่าวคือกระบวนธรรมของขันธ์ทั้ง ๕ ใน"ชรา"จึงล้วนประกอบด้วยอุปาทาน กล่าวคือ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ทั้ง ๕ ที่จะทำการงานอยู่ใน"ชรา" ล้วนถูกครอบงำด้วยอุปาทานทั้งสิ้นแล้ว จึงแปรไปเป็น รูปูปาทานขันธ์(อุปาทานรูป-ยึดมั่นถือมั่นในรูป) เวทนูปาทานขันธ์(อุปาทานเวทนา) สัญญูปาทานขันธ์(อุปาทานสัญญา) สังขารูปาทานขันธ์(อุปาทานสังขาร) และวิญญาณูปาทานขันธ์(อุปาทานวิญญาณ) ที่ย่อมเร่าร้อนเผาลนกว่าทุกข์จากขันธ์ ๕ ตามธรรมชาติอันเป็นปกติธรรมดาของชีวิต และยังเกิดการวนเวียนปรุงแต่งฟุ้งซ่านต่างๆนาๆ เป็นวงจรจึงแปรปรวนปรุงแต่งไม่รู้จักจบ แบบไม่มีต้นไม่มีปลายอีกต่อไปเชื่อมต่อเป็นวงจรเป็นเหตุปัจจัยต่อกันและกันไปเรื่อยๆ ซึ่งซ้อนอยู่ในวงจรปฏิจจสมุปบาทอีกทีนั่นเอง เป็นวงจรที่หนุนเนื่องหมุนเวียนฟุ้งซ่านอยู่ตลอดเวลา และอีกทั้งขันธ์ ๕ ในชราแปรเป็นอุปาทานขันธ์ การเวียนว่ายตายเกิดจึงยิ่งเร่าร้อนเผาลนและยาวนาน เพราะวนเวียนเป็นวงจรยิ่งสั่งสมไปเรื่อยไม่รู้จบ จนกว่าจะดับไปด้วยธรรมนิยามคือทุกขัง(การทรงสภาพเดิมอยู่ไม่ได้ของสังขาร) แล้วก็เกิดดับ เกิดดับๆ.....ขึ้นใหม่ต่อไปได้เรื่อยๆอีกนานแสนนาน...ด้วยอาสวะกิเลสที่เกิดขึ้นด้วย จึงไม่รู้จักจบดังวงจรที่หมุนหนุนเนื่องให้แปรปรวนดังระลอกคลื่นในทะเลที่มีการหนุนเนื่องกันอยู่ตลอดกาลนาน ดังรูป
ภาพขยายความ วงจรชรา(วงจรเล็กสีแดง) อยู่ภายในวงจรปฏิจจสมุปบาท(สีน้ำเงิน)
ขันธ์ทั้ง ๕ ที่วนเวียนปรุงแต่งแปรปรวนเป็นวงจรอยู่ใน"ชรา"จึงยาวนานเพราะวนเวียน ต่างล้วนประกอบด้วยอุปาทานเข้าครอบงำแล้วทั้งสิ้น คือ ประกอบด้วย
รูปูปาทานขันธ์(อุปาทานรูป), เวทนูปาทานขันธ์(อุปาทานเวทนา), สัญญูปาทานขันธ์(อุปาทานสัญญา), สังขารูปาทานขันธ์(อุปาทานสังขาร), และวิญญาณูปาทานขันธ์(อุปาทานวิญญาณ)
อันต่างล้วนเป็นอุปาทานขันธ์ ๕ อันเป็นทุกข์ ที่ย่อมเร่าร้อนเผาลนกว่าขันธ์ ๕ ธรรมดา ที่เป็นเพียงทุกข์ธรรมชาติซึ่งต้องเป็นเช่นนี้เองเป็นธรรมดา
ด้วยแฝงด้วยอุปาทานความยึดมั่นยึดถือตามกิเลสของตัวตน หรือตัวกู ของกู
ภาพขยายในชรา ล้วนเป็นอุปาทานขันธ์ ๕ อันเป็นทุกข์ เพราะเกิดจากสังขารูปาทานขันธ์ในชาติ อันถูกครอบงําโดยอุปาทานแล้ว |
ภาพขยายความ วงจรชรา(สีแดง)ในวงจรปฏิจจสมุปบาท(สีเทา)
มรณะ หมายถึง การดับไป การสิ้นไปของอุปาทานขันธ์ ๕ หรือทุกข์ที่เกิดขึ้นมาอย่างเร่าร้อนและวนเวียนจึงยาวนาน ในวงจร"ชรา"นั้นๆ เพียงในรอบนี้
อาสวะกิเลส อันมี โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส คือเหล่ากิเลสต่างๆที่ย่อมต้องเกิดขึ้นเป็นผลสืบเนื่องจากทุกข์หรืออุปาทานขันธ์ ๕ ที่ประกอบด้วยอุปาทานที่ได้ดับไปแล้ว แปรไปเป็นสัญญาความจำได้อย่างหนึ่งตามวิสัยของชีวิตนั่นเอง แต่เป็นในลักษณะเก็บจำนอนเนื่องอยู่ไว้ จึงเป็นสัญญาความจำที่เจือด้วยกิเลสของอดีตที่สั่งสมมา รอวันเวลากำเริบเสิบสานขึ้นมาใหม่ได้อีกเมื่อไรก็ได้ ด้วยเป็นวิสัยของชีวิตอีกเช่นกันที่ย่อมระลึกจำสิ่งต่างๆขึ้นมาได้ กล่าวคือ กิเลสที่ซึมซาบย้อมจิต ย่อมสามารถผุดขึ้นมาได้เองเป็นธรรมดาของชีวิต หรือเมื่อมีสิ่งมากระทบกระตุ้นเร้า ก็ย่อมขุ่นมัวขึ้นมาอีก ดุจดั่งน้ำที่ขุ่นมัว แต่ตกตะกอนนอนก้น แล้วถูกกวนให้ขุ่นมัวขึ้นมาฟุ้งกระจายไปย้อมจิตด้วยกิเลสอีกเป็นที่สุด
การตัดวงจรหรือดับวงจรปฏิจจสมุปบาท คือการดับวงจรของการเวียนว่ายตายเกิดในกองทุกข์
การดับวงจรปฏิจจสมุปบาทหรือวงจรของทุกข์ลงไปนั้น สามารถกระทำได้หลายวิธี เพราะมีความสืบเนื่องเป็นเหตุปัจจัยต่อกัน เมื่อตัดหรือดับไปได้ก็ย่อมทำให้วงจรขาดความสืบเนื่องต่อไปคือดับ จึงขึ้นอยู่กับ จริต สติ สมาธิ และปัญญาของผู้ปฏิบัติเอง และสถานะการณ์นั้นๆ ซึ่งต่างล้วนให้ผลดีงามด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
อวิชชาดับ
อันย่อมเป็นสุดยอดของวิชชา เมื่ออวิชชาดับด้วยสติ สมาธิ ปัญญาด้วยมรรค
อีกทั้งรู้อดีต อนาคตที่เคยเกิดเป็นมาของทุกข์ล้วนเกิดขึ้นจากเหตุปัจจัยดังนี้ๆด้วยปัญญา
เช่นนี้เอง จึงไม่ฟุ้งซ่านปรุงแต่งสังขารฝ่ายกิเลสขี้นมา กล่าวคือ เมื่ออวิชชาดับด้วยวิชชา
สังขารจึงดับไป เพราะสังขารดับไป
วิญญาณจึงดับ
........ฯ. เนื่องกันไปเป็นลำดับ
เวทนาดับ เวทนา สติระลึกรู้เท่าทันเวทนา อันเป็นเพียงสภาวธรรมตามธรรมคือธรรมชาติของชีวิต มันเกิดขึ้นและเป็นไปเช่นนี้เอง หรือก็คือหลักปฏิบัติในเวทนานุปัสสนาในสติปัฏฐาน ๔ นั่นเอง แล้วไม่เอา ไม่ปรุงแต่ง อุเบกขา, เวทนาแม้เกิดขึ้น แต่ย่อมดับไปที่มีความหมายว่า เวทนาแม้มีอยู่แต่ไม่ส่งผลให้เกิดการเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดการสืบเนื่องต่อไปได้อีก
ตัณหาดับ สติระลึกรู้เท่าทันตัณหา หรือสังขารขันธ์ฝ่ายอกุศล กล่าวง่ายๆก็คืออารมณ์ในทางโลกต่างๆฝ่ายอกุศลนั่นเอง เช่น ราคะ โทสะ โมหะ หดหู่ ฯลฯ. แล้วอุเบกขา หรือก็คือหลักปฏิบัติจิตตานุปัสนา แล้วอุเบกขา ตัณหาจึงนับว่าดับไป ที่หมายความว่าแม้เกิดตัณหามีอยู่แต่ไม่ส่งผลเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดการสืบเนื่องต่อไปอีกได้
ชาติดับ สติระลึกรู้มโนกรรม เช่นความคิดนึก ที่เป็นผลจากกรรม(การกระทำ)ในภพแล้ว คือสติเห็นจิตคือความคิดนึกชนิดมโนกรรมที่ประกอบด้วยอุปาทานจึงย่อมประกอบด้วยกิเลสนั่นเอง ซึ่งก็คือจิตตานุปัสนาเช่นกันคือระลึกรู้เท่าทันจิตสังขาร(สังขารของจิต) แล้วอุเบกขา ไม่ยึดมั่น หมายมั่นใดๆ จึงนับว่าขาติดับไป ที่หมายความว่าแม้มีมโนกรรมความคิดเจือกิเลสเกิดขึ้นแล้ว แต่สติระลึกรู้เท่าทัน แล้วปล่อยวางเช่นกัน จึงนับว่าดับไป เพราะไม่เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดการสืบเนื่องต่อไปนั่นเอง
ชราดับ ซึ่งย่อมเกิดความคิดนึกปรุงแต่งวนเวียนเป็นวงจรของขันธ์ ๕ ที่ล้วนประกอบด้วยอุปาทาน กล่าวคือวนเวียนอยู่ในวังวนของกองทุกข์แล้ว เมื่อสติเกิดรู้เท่าทันทั้งโดยเวทนานุปัสสนา หรือจิตตานุปัสสนาใน"ชรา"ก็ตาม คือทั้งเวทนูปาทานขันธ์ และสังขารูปาทานขันธ์ อีกทั้งมโนกรรมต่างๆใน"ชรา" แล้วหยุดเสียด้วยการไม่เอา ไม่ปรุงแต่ง หรืออุเบกขาเสีย จึงนับว่าชรานั้นดับไป จึงทำให้วงจรของ"ชรา"อีกทั้งวงจรปฏิจจสมุปบาทดับไป ขาดความสืบเนื่องให้เกิดต่อไป
ถ้าไม่สามารถดับวงจรของทุกข์ลงได้ดังกล่าว ผู้ปฏิบัติก็จะหลงวนเวียนปรุงแต่งอย่างยาวนานจึงยิ่งเร่าร้อนอยู่ใน"ชรา" ไปเรื่อยๆ ช้าบ้าง เร็วบ้าง ทิ้งช่วงไปบ้าง จนกว่าจิตจะเบี่ยงเบนออกไปด้วยภารกิจอื่นๆ คือจิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า ด้วยเหตุอันใดก็ดี จิตจึงหยุดวงจรการเวียนว่ายตายเกิดในชราได้ชั่วขณะ หรือดับไปด้วยธรรมนิยามคือ ความไม่เที่ยง คงสภาพเดิมอยู่ไม่ได้นั่นเอง แต่ต้องใช้เวลาอันแสนยาวนานวนเวียนจมอยู่ในกองทุกข์ เพราะยิ่งปรุงแต่งวนเวียนก็ยิ่งย่อมเร่าร้อนเผาลนทวีคูณด้วยการสั่งสมของไฟกิเลส อีกทั้งการดับไปครานี้ย่อมยังให้เกิดอาสวะกิเลสคือเกิดกิเลสที่นอนเนื่องเก็บจำไว้มากยิ่งขึ้นโดยไม่รู้ตัวเป็นธรรมดา ที่ย่อมทำให้เกิดกำเริบเสิบสานขึ้นมาได้อีกเมื่อใดก็ได้ เมื่อขาดสติหรือถูกกระตุ้นเร้า วงจรของทุกข์ก็จะเริ่มขึ้นอีกครั้งวนเวียนอยู่เยี่ยงนี้ จึงเป็นไปเช่นนี้ได้ตลอดกาลนาน แม้ ๑ชม...๒ชม...๑วัน...๓วัน...๕วัน...๑เดือน...๑ปี...๑๐ปี......ฯ.
การดับทุกข์ในวงจรนั้น เหตุที่ต้องกล่าวไว้หลายๆตำแหน่งหรือหลายๆแบบนั้น เพราะขึ้นอยู่กับนักปฏิบัติเอง ที่ย่อมขึ้นอยู่กับจริต สติ สมาธิ ปัญญา คือสภาวธรรม และสถานะการณ์ต่างๆของผู้ปฏิบัติ จึงไม่จำเป็นที่จะต้องเลือกปฏิบัติเป็นลำดับหรือเลือกตัวใดตัวหนึ่ง สติรู้เท่าทันอันใดก็ปฏิบัติอันนั้นไป ที่บางขณะมีวิชชาบริบูรณ์ คือมีสติ สมาธิ ปัญญาเต็มกำลัง ก็หยุดฟุ้งซ่านปรุงแต่งคืออุทธัจจะเสียแต่ต้นมือ สังขารอันประกอบด้วยกิเลสก็ไม่เกิดขึ้นคือดับไป อันย่อมเป็นสุดยอดของการปฏิบัติหรือการดับวงจรของทุกข์ โดยที่ทุกขที่ประกอบด้วยอุปาทานหรืออุปาทานขันธ์ ๕ อันเป็นทุกข์์ไม่เกิดขึ้นเลย วิธีเดียวกับที่ทางนิกายเซ็นใช้ปฏิบัติที่เน้นการให้หยุดการคิดปรุงแต่งหรืออุทธัจจะ แต่ในการปฏิบัติจริงในการดำเนินชีวิต บางครั้งอาจมีสติรู้เท่าทันเมื่อเกิดเวทนาโดยธรรมชาติขึ้นแล้วบ้าง บางครั้งอาจมีสติรู้เท่าทันจิตโดยธรรมชาติบ้าง อันคือตัณหาหรืออารมณ์อกุศลต่างๆ เช่นโลภะ โทสะ โมหะ หดหู่ ฟุ้งซ่าน ฯลฯ. บางครั้งอาจมีสติเท่าทันจิตที่หมายถึงความคิดที่เกิดขึ้นหรือมโนกรรมความคิดนึกต่างๆในชาติอันเริ่มประกอบด้วยอุปาทานบ้าง หรือบางครั้งอาจมีสติเท่าทันขณะวนเวียนปรุงแต่งในอุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์อย่างเร่าร้อนเผาลนอยู่ในองค์"ชรา"แล้วบ้าง หรือบางครั้งอาจมาพิจารณาเห็นอดีตโดยได้ดับไปแล้วบ้าง ด้วยเหตุนี้นี่เองจึงมีการปฏิบัติแบบต่างๆดังปรากฏในสติปัฏฐาน ๔ ก็เพื่อให้มีสติรู้เท่าทันไม่ว่าจะอยู่ในสภาวธรรมหรือสถานะการณ์ใดๆ ก็เพียงเพื่อดับคือตัดวงจรของทุกข์ให้หยุดการหมุนเวียนสืบเนื่องสืบไปของทุกข์ พร้อมทั้งปัญญาสั่งสมที่ย่อมเกิดขึ้นด้วยการเห็นได้ด้วยตัวตนเองเป็นลำดับว่าเกิดและดับจากเหตุปัจจัยใด ได้อย่างแจ่มแจ้งเป็นลำดับ ล้วนนับว่าเป็นการดับด้วยสติ สมาธิ และปัญญาอันดีงามทั้งสิ้น
ข้อสังเกตุ ในการปฏิบัติจริงในชีวิตประจำวันที่ควรรู้ เพียงชั่วขณะหนึ่ง เร็วกว่าเสี้ยวกระพริบตา หรือสายฟ้าแลบเสียอีก ดุจดั่งลูกธนูหลุดออกจากแล่งแล้ว กระบวนธรรมของขันธ์ ๕ ย่อมทะยานไปจนถึงเป้าหมายสุดท้ายของกระบวนธรรมของขันธ์ทั้ง ๕ คือสังขารขันธ์ การไปหยุดลูกศรที่ปล่อยไปแล้วเสียกลางคันกลางอากาศย่อมเป็นไปมิได้ ฉันใดก็ฉันนั้น ดังนั้นโดยแท้จริงขั้นปรมัตถ์แล้ว วงจรของทุกข์นั้นได้เกิดหรือดำเนินไปอย่างน้อยที่สุดถึงตำแหน่งองค์"ตัณหา"แล้วนั่นเอง กล่าวคือดำเนินไปเหมือนกับกระบวนธรรมการทำงานของขันธ์ ๕ จนสิ้นสุดกระบวนธรรมที่ของขันธ์ ๕ ที่สุดท้ายคือ"สังขารขันธ์" ซึ่ง ณ.ที่นี้ก็คือ"ตัณหา"อันเป็น"อกุศลสังขารขันธ์"นั่นเอง, ดังที่ท่านหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ได้กล่าวสอนไว้ เมื่อมีผู้เรียนถามท่านว่า"ท่านยังมี"โกรธ"ไหม" ท่านก็ตอบตามความสัตย์จริงว่า"มี แต่ไม่เอา" เนื่องด้วยโกรธเป็นสังขารขันธ์จึงมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา แต่เป็นอกุศลสังขารขันธ์ท่านก็ไม่เอา ไม่ยึดมั่นถือมั่นตามกิเลสตน จึงไม่พัวพัน ไม่ปรุงแต่ง อุเบกขาเป็นกลางวางทีเฉยเสีย, เมื่อขาดเหตุให้เกิดการสืบเนื่องต่อไป ตัณหาจึงนับว่าดับไป(ความโกรธเป็นอกุศลสังขารขันธ์จึงเป็นตัณหา), หรือดังอีกตัวอย่างหนึ่งที่แสดงถึงสภาวธรรมของขันธ์ ๕ ได้ดี คือ "มีผู้เรียนถามหลวงปู่ดูลย์ อตุโลว่า "พระอรหันต์ท่านเคยนอนหลับฝันเหมือนคนธรรมดาด้วยรึเปล่าครับ" ท่านตอบว่า "การหลับแล้วเกิดฝัน เป็นเรื่องของ"สังขารขันธ์"์ ไม่ใช่หรือ." ซึ่งมีหมายความว่า "ยังมีอยู่" เพราะเมื่อเป็น"สังขารขันธ์"ก็ย่อมเป็นสภาวธรรม(ชาติ)หรือวิสัยของชีวิต จึงยังคงมีอยู่เป็นธรรมดานั่นเอง แม้ในพระอรหันต์ก็ไปห้าม ไปหยุดเขาไม่ได้
แสดงกระบวนธรรมของขันธ์ ๕ ที่ต้องดำเนินไปจนสิ้นสุดกระบวนธรรมที่สังขารขันธ์ ด้วยเป็นสภาวธรรม(ชาติ) เป็นอนัตตา จึงบังคับบัญชาไม่ได้ มันเป็นไปเช่นนี้เอง
รูป และ สังขารขันธ์
คืออารมณ์ต่างๆหรืออาการของจิตที่เกิดขึ้นยังไปเป็นเหตุปัจจัย
|
ลองพิจารณากระบวนธรรมการทำงานของขันธ์ทั้ง ๕ ข้างต้นว่า เป็นไปดังนี้ไหม? ถ้าเห็นว่าเป็นไปดั่งนี้ได้แล้ว สมเหตุสมผลแล้ว ให้ลองพิจารณาดังต่อไปนี้อีกครั้ง
ด้วยชันธ์ทั้ง ๕ เป็นอนัตตา จึงไม่มีใครครอบครองเป็นเจ้าของได้ จึงย่อมควบคุมบังคับเขาไม่ได้เลย ได้แต่เป็นไปตามเหตุปัจจัย
ดังเมื่อรูปกระทบตาในผู้มีชีวิต จะไม่ไปเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดจักขุวิญญาณคือ ไม่เกิดการไม่รู้แจ้งขึ้น คือย่อมไม่เห็นในรูปนั้น หยุดหรือห้ามไม่ให้เกิดขึ้นหรือเป็นไปดังนี้ได้ไหม? ขอเราจงไม่เห็นรูปนี้เถิด!
ถ้ารูปกับตาอีกทั้งจักขุวิญญาณ คือธรรมทั้ง ๓ ประจวบครบองค์ของการผัสสะหรือสัมผัสในการทำการงานแล้ว แล้วไม่ทำการงานต่อคือหยุดเสีย หยุดหรือห้ามไม่ให้เกิดขึ้นหรือดำเนินต่อไปได้ไหม? ขอเราจงไม่เกิดการผัสสะขึ้นเถิด!
ถ้าผัสสะกันแล้ว ไม่ไปเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดสัญญาจำได้หมายรู้(รูปสัญญา)ที่มีในรูปนั้น คือหยุดหรือห้ามไม่ให้เกิดสัญญาขึ้น เป็นไปดังนี้ได้ไหม? ขอให้เราจงจำเข้าใจในรูปนี้ไม่ได้ด้วยเถิด!
ถ้าจำขึ้นมาได้แล้ว หยุดไม่ให้เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดเวทนาความรู้สึกจากการเสวยในรูปนั้น หยุดหรือห้ามไม่ให้เกิดขึ้นหรือเป็นไปดังนี้ได้ไหม? ขอเราจงอย่าเกิดเวทนาเถิด!
ถ้าเกิดเวทนาแล้ว ห้ามไม่ให้เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดสัญญาคิดอ่านหมายรู้(รูปสัญเจตนา)ที่สั่งสมอยู่ในรูปนั้น หยุดหรือห้ามไม่ให้เกิดสัญญาคิดอ่านขึ้น เป็นไปดังนี้ได้ไหม? ขอเราจงไม่คิดอ่านเจตนาใดๆในรูปนี้เถิด!
ถ้าเกิดการปรุงจิตของสัญญาคิดอ่าน(รูปสัญเจตนา)แล้ว ห้ามไม่ให้เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดสังขารขันธ์หรืออาการต่างๆของจิตคืออารมณ์ต่างๆที่ส่งผลให้เกิดเจตนาและกรรม(การกระทำ)ขึ้น หยุดหรือห้ามไม่ให้เกิดสังขารขันธ์ขึ้น เป็นไปดังนี้ได้ไหม? ขอเราจงอย่าได้เกิดอาการของจิตหรืออารมณ์ต่างๆขึ้นเถิด!
ลองตอบคำถามเหล่านี้ด้วยการโยนิโสมนสิการด้วยตัวตนเองอย่างแยบคาย แล้วลองนำไปพิจารณาในทุกๆอายตนะอีกด้วยว่า เป็นไปเยี่ยงไร? แล้วจะดวงตาเห็นธรรม, ด้วยเหตุดังนี้เขาจึงทำงานของเขาไปตามธรรม(ชาติ) จึงไปห้าม ไปหยุด เขาย่อมมิได้เลย จนสิ้นสุดกระบวนธรรมคือสังขารขันธ์ จึงกล่าวว่าดุจลูกศรที่หลุดออกจากแล่งย่อมทะยานเข้าสู่เป้าหมายคือสังขารขันธ์ ด้วยเหตุ ด้วยผล ด้วยกลดังนี้แล มันจึงเป็นไปเช่นนี้เอง(ตถตา) ด้วยเหตุนี้ในการปฏิบัติที่สำคัญที่สุดที่เราสามารถกระทำได้เพียงหนึ่งเดียวคือโดยอาศัยกำลังสติและสมาธิ แล้วใช้หลักของการปล่อยวาง ไม่พัวพัน ไม่ยึดถือ ไม่ปรุงแต่ง หรืออุเบกขาเสียนั่นเอง ด้วยการไปห้าม ไปหยุด ไปกำจัดเขาไม่ได้ ด้วยเป็นทั้งอนัตตา และสภาวธรรม(ชาติ) จึงเป็นเช่นนี้เอง ก็ด้วยปัญญา(สัมมาญาณ มรรคองค์ที่ ๙)ที่รู้แจ้งเห็นจริงได้ด้วยตัวตนเองดังนี้นี่เอง
จึงเป็นไปดังเช่นคำสอนของหลวงพ่อเยื้อน ขันติพโล, ท่านเป็นลูกศิษของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ที่กล่าวในลักษณาการเดียวกันนี้ว่า
"ขันธ์ ๕ ย่อมทำงานของเขาไปตามธรรมชาติ ไม่มีใครหยุด หรือห้ามการทำงานของเขาได้ เพียงแต่มีสติ ระลึกรู้ แล้ววาง ไม่ยึดมั่นถือมั่น ก็สามารถเป็นอิสระเหนือขันธ์ ๕ ได้ โดยวิธีนี้"
ข้อธรรมนี้ แม้แลดูธรรมดาๆ แต่แท้จริงแฝงด้วยแก่นธรรมอันสูงสุดในการดับทุกข์ทีเดียว อีกทั้งเป็นการดับเหตุปัจจัยของวงจรปฏิจจสมุปบาทไม่ให้เกิดการสืบเนื่องเป็นทุกข์อยู่ในทีอีกด้วย ซึ่งต้องใช้สติ สมาธิ และอีกทั้งกำลังของปัญญาที่เกิดขึ้นเพราะรู้ความจริง มาเป็นกำลังจัดการจึงได้ผลยิ่ง การปฏิบัติโดยขาดความเข้าใจ(ปัญญา)เนื่องด้วยอวิชชา ๘ คือ ความไม่รู้ปฏิจจสมุปบาท แม้ได้ผลแต่มักไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร ด้วยยังมีวิจิกิจฉาอยู่ในที จึงขาดกำลัง
กล่าวคือ ขันธ์ ๕ ย่อมทำงานของเขาตามธรรมชาติ ไปหยุด ไปห้าม ไปบังคับบัญชาเขาไม่ได้ อีกทั้งอย่าลืมว่าทุกขสัจจ์ คือทุกข์ธรรมชาติของชีวิตยังคงมีอยู่เป็นธรรมดา หนักบ้างเบาบ้างตามเหตุปัจจัย จึงต้องยอมรับตามความเป็นจริงของธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ว่า มันเป็นเช่นนี้เอง ด้วยปัญญาอย่างนี้แล้วมีสติปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่นตามกิเลสชอบชังของตน(อุปาทาน) จึงไม่เข้าไปพัวพัน ไม่ปรุงแต่ง หรืออุเบกขาเสีย จึงย่อมไม่เกิดอุปาทานขันธ์ ๕ อันเป็นทุกข์ ซึ่งเป็นทุกข์ที่ประกอบด้วยอุปาทานจึงเร่าร้อนด้วยกิเลสจากด้วยความยึดมั่นถือมั่นอยากให้เป็นไปตามกิเลสตน, เยี่ยงนี้คือการดับของทุกข์ เพราะวงจรย่อมขาดความสืบเนื่องของเหตุต่างที่มาเป็นปัจจัยกัน เยี่ยงนี้จึงนับว่าเป็นการดับไปของวงจรแห่งทุกข์อย่างถูกต้อง
ดังนั้นโดยแท้จริงแล้ว
ในการดำเนินไปในวงจรปฏิจจสมุปบาทนั้น
เหล่าเวทนา ตัณหา(สังขารขันธ์ฝ่ายอกุศล)จึงได้ดำเนินเกิดขึ้นแล้วเช่นกัน เฉกเช่นเดียวกับขันธ์
๕
เนื่องจากในช่วงแรกจนถึงตัณหานี้ เป็นการแสดงการเริ่มเกิดขึ้นของวงจรโดยการทำงานประสานกันของขันธ์ทั้ง
๕ มาเป็นเหตุปัจจัยกันนั่นเอง กระบวนธรรมจึงดำเนินไปเหมือนในขันธ์ ๕, อีกทั้ง
ถ้าสติไม่เท่าทัน ก็อาจดำเนินไปตามวงจรของเหตุปัจจัยไปจนเกิด
อุปาทาน
ภพ
ชาติอันเป็นความคิดนึก
ที่ประกอบด้วยอุปาทานจึงเป็นทุกข์
(คือเกิดมโนกรรมความคิดที่ประกอบด้วยอุปาทานใน"ชาติ")
หรือแม้อาจดำเนินไปถึงอุปาทานขันธ์ทั้ง
๕ ใน"ชรา"
ที่วนเวียนปรุงแต่งเป็นวงจรของทุกข์ที่เวียนหนุนต่อเนื่องกันไปเป็นวงจร
เมื่อเป็นวงจรได้ จึงไม่รู้จบ จึงยาวนาน จึงยิ่งสั่งสม จึงยิ่งเร่าร้อน,
ดังนั้นการมีสติรู้เท่าทัน จึงมีความหมายถึง สติระลึกรู้เท่าทันในตัวใดตัวหนึ่งที่ได้เกิดขึ้นมาแล้วดังกล่าว
ตามจริต ความชำนาญ(วสี) สติ สมาธิ ปัญญา และสถานะการณ์ต่างๆ กล่าวให้เข้าใจง่ายๆก็คือ สติระลึกรู้เท่าทันสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่กล่าวก็ล้วนดีงามทั้งสิ้น
ซึ่งบางครั้งสติอาจเท่าทันในเวทนาบ้าง
หรือจิตคือตัณหาบ้าง(สังขารขันธ์ฝ่ายอกุศลหรือจิตสังขารหรือเรียกว่าจิต)
หรือความคิดบ้าง(มโนกรรมจัดว่าเป็นจิต
คือจิตสังขารอย่างหนึ่งเช่นกัน) หรือมักเรียกกันว่าจิต(สติ)เห็นจิต(คิด)บ้าง
หรือจิต(สติ)เห็นคิด(มโนกรรม)บ้างก็ได้นั่นเอง
ตามแต่ละท่านจะจำแนก,
การมีสติระลึกรู้นี้เกิดตามแต่จริต สติ สมาธิ ปัญญาของนักปฏิบัติที่ได้ฝึกฝน,อบรม,สั่งสมมา
อีกทั้งความแรงเข้มเด่นชัดของแต่ละองค์ธรรมที่เกิดขึ้นซึ่งย่อมมีความแตกต่างกันไปตามสภาวธรรมหรือสถานะการณ์ กล่าวคือ
เกิดทุกข์ขึ้นเกือบครบวงจรของทุกข์แล้ว เพียงแต่ยังไม่มรณะคือยังไม่คลายดับไป
การมีสติระลึกรู้เท่าทันจึงอาจระลึกรู้เห็นเด่นชัดในเวทนาบ้าง
บางขณะบางสถานะการณ์สติระลึกรู้เท่าทันเห็นเด่นชัดในจิต
คือตัณหาคือโทสะคือโกรธ
หรือโลภะอยาก ฯ.บ้าง หรือจิตที่เป็นความคิดนึกปรุงแต่ง(มโนกรรม)ใน"ชาติ"
หรืออุทธัจจะฟุ้งซ่านอยู่ใน"ชรา"บ้าง
ซึ่งต่างก็ล้วนดีงามทั้งสิ้น เพราะล้วนเกิดแต่สติและปัญญาอันแจ่มแจ้งดีแล้ว
เพียงแต่เมื่อสติระลึกรู้เท่าทันแล้ว ต่างล้วนปฏิบัติโดยการปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่นด้วยกิเลสตน
จึงไม่พัวพัน
ไม่ปรุงแต่ง หรืออุเบกขาเสียทั้งสิ้น กล่าวคืออย่าลืมว่า
ทั้งเวทนาและตัณหา(สังขารขันธ์)ยังคงมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
และอาจเกิดถึง"ชาติ"อันคือความคิดนึกมโนกรรมที่ประกอบด้วยอุปาทานอีกด้วย
แต่ด้วยปัญญาแจ่มแจ้งเป็นกำลัง จึงไม่ดิ้นรน จึงไม่เอา คือไม่ยึดมั่นถือถือด้วยกิเลส ไม่หมายมั่น ไม่พัวพัน
หยุดการปรุงแต่งต่อไปเสีย สักว่ามันเป็นสภาวธรรม มันจึงเป็นเช่นนี้เอง ดังนั้นด้วยการอุเบกขา
หยุดเสียดื้อๆ ไม่ต่อล้อต่อเถียงกับจิต ไม่เปิดโอกาสให้จิตหลอกล่อพัวพันไปปรุงแต่งให้เนื่องยืดยาวต่อไปอีก มีสติกำจัดเหล่าอภิชฌา(ความอยากได้)และโทมนัส(ความไม่สบายใจ)ทั้งหลายออกไปดังที่ท่านได้กล่าวไว้ในสติปัฏฐาน
๔, วงจรของทุกข์ก็ย่อมเสื่อมดับไป เพราะไม่มีเหตุปัจจัยเป็นกำลังให้สามารถหมุนหนุนเนื่องให้วงจรของทุกข์ขับเคลื่อนวนเวียนต่อไปได้อีก
อีกทั้งพร้อมทั้งการสั่งสมอันดีเลิศของสติและปัญญาที่เกิดจากการปฏิบัติ ที่เห็นได้ด้วยตัวตนเองจริง, มิใช่จากการปล่อยให้มันดับไปเองด้วยอำนาจทุกขังดังปุถุชนทั่วไป, จนเป็นวสีในที่สุด
สามารถกระทำได้เองแทบเป็นอัตโนมัติ หรือมหาสติอันดีเลิศ
ดังนั้นการดับไปในวงจรปฏิจจสมุปบาททั้งใน เวทนา และอกุศลสังขารขันธ์(ตัณหา) ตลอดจนความคิด(มโนกรรม) จึงมีความหมายว่า แม้ยังคงเกิดขึ้นจริง คือทุกขสัจจ์ก็ยังมีอยู่อย่างยอมรับความจริง แต่ปล่อยวาง ไม่พัวพัน ไม่ปรุงแต่ง หรืออุเบกขา จึงไม่เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดการสืบเนื่องเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดทุกข์ที่ประกอบด้วยอุปาทานได้วนเวียนเป็นวงจรได้อีกต่อไป จึงนับว่าเป็นการดับไป อย่างถูกต้องดีงาม, จึงไม่ใช่การพยายามไปดับแบบไม่ให้เกิด ไม่ให้เป็น ไม่ให้มี แบบตรงๆดื้อๆได้ดั่งการเปิดปิดหลอดไฟแต่อย่างใด ลองพิจารณาดูว่าเคยพยายามกระทำดังนี้ไหม? เพราะทั้งขันธ์ ๕ และปฏิจจสมุปบาทมีความสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่น และต่างล้วนเป็นสภาวธรรม เป็นอนัตตาจึงย่อมควบคุมบังคับบัญชาเขาไม่ได้ มันจึงเป็นเช่นนี้เองคือเมื่อมีเหตุมาเป็นปัจจัยแก่กันและกันย่อมต้องเกิดขึ้น แต่เพราะการปล่อยวาง อุเบกขาวางทีเฉย ไม่พัวพัน จึงตัดวงจรการเกิดสืบเนื่องของเหตุปัจจัยออกไป จึงถึงนับได้ว่าเป็น"การดับไป"
ดังได้กล่าวเรื่องจิตเห็นจิตมาแล้ว
เพื่อแก้ข้อสงสัยของบางท่าน ที่กล่าวไว้ว่า จิตแรกหมายถึงสติซึ่งก็คือสังขารขันธ์จึงจัดเป็นจิตสังขารอย่างหนึ่งเช่นกัน
จึงใช้เรียกแทนสติว่าจิต ส่วนจิตหลังนั้นหมายถึงความคิดที่เกิดขึ้นจากสังขารขันธ์(อารมณ์ต่างๆ)ไปปรุงจิตให้เกิดการกระทำทางใจ
คือความคิดความนึกอันเป็นผลที่เกิดขึ้นจากการเป็นเหตุปัจจัยกันของขันธ์ทั้ง ๕ ที่เรียกกันว่ามโนกรรม
การกระทำทางใจนั่นเอง จึงจัดว่าเป็นจิตสังขารหรือจิตเช่นกัน, บางท่านไปเข้าใจว่าจิตตัวหลังหมายถึง"ธรรมารมณ์"
คือความคิดความนึกที่ทำหน้าที่เป็นเหตุ จึงพยายามไปหยุดคิดหยุดนึกเสีย ก็เพื่อไม่ให้เกิดเวทนา
สัญญา
....ฯ.
เจตนาก็เพื่อดับเวทนาเสียไม่ให้เกิดขึ้นหรือสิ้นไปเสียตรงๆ ก็เพิ่อไม่ให้เกิดเวทนาขึ้นมาเลย, แต่เพราะกระบวนธรรมของชีวิตหรือขันธ์ ๕ เป็นสภาวธรรม(ชาติ)
จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะไปควบคุมบังคับดับกระบวนธรรม และแท้จริงแล้วสิ่งที่เรียกว่า"ธรรมารมณ์หรือสิ่งที่รู้ได้ด้วยใจ"นี้เกิดขึ้นเหมือนดั่งยังลอยละล่องยังไม่ทำการงานใด
เป็นเพียงสิ่งที่จะไปปรุงแต่ง แต่ยังไม่ได้ปรุงแต่งทำการงานอะไรๆดังองค์"สังขาร"ในปฏิจจสมุปบาทเช่นกัน
ยังไม่มีความหมาย ยังไม่รู้อะไรอะไรทั้งสิ้นเพราะยังขาดเหตุปัจจัยให้รู้แจ้ง(วิญญาณ) จนกระทั่งกระทบกับอายตนะภายในของชีวิตคือมโนหรือใจ
จึงเกิดวิญญาณขึ้นคือมโนวิญญาณ จิตหนึ่งหรือวิญญาณ(การรู้แจ้งในสิ่งกระทบ)จึงเกิดขึ้น จึงจักเกิดการรู้แจ้งหรือการเห็นคือรับรู้ในธรรมารมณ์นั้นๆขึ้นได้ และเมื่อเกิดวิญญาณขึ้นแล้วจึงจำต้องดำเนินไปตามกระบวนธรรมของขันธ์ ๕ อันเป็นธรรมชาติของชีวิต
ไปจนสิ้นสุดกระบวนธรรมเหมือนดั่งลูกศรที่ออกจากแล่งดังกล่าว จึงต้องเกิดเวทนา
สัญญา(ธัมมสัญเจตนา)
สังขารขันธ์
อันเป็นผลของการทำงานเป็นเหตุปัจจัยกันของขันธ์ทั้ง ๕ และสังขารขันธ์นี้
แม้จบกระบวนธรรมของขันธ์ ๕ ไรอบหนึ่งแล้วก็ตาม แต่สังขารขันธ์ก็ยังไปทำหน้าที่เป็นเหตุปัจจัย
คือยังผลให้เกิดมโนกรรมดังกล่าว ซึ่งเราเจตนาคิดอ่านปรุงแต่งขึ้นเนื่องต่อไปอีกด้วย จึงเกิดการรับรู้ของจิตในความคิด(มโนกรรม)นั้นๆได้
(สำหรับผู้ที่สงสัย หาอ่านรายละเอียดได้ใน ขันธ์
๕ กระบวนธรรมของชีวิต)
จากการพิจารณาดังโยนิโสมนสิการข้างต้นแล้ว ยังยืนยันได้โดยอาศัย"ปฏิจจสมุปบาทธรรม" กล่าวคือ องค์ธรรม"สังขาร"คือสิ่งปรุงแต่งที่เกิดขึ้นนั้น เบื้องต้น ก็ยังไม่มีการรับรู้ใดๆ จึงต้องเกิดวิญญาณขึ้นมาทำหน้าที่รู้แจ้ง ในสังขารปรุงแต่งนั้นก่อน จึงทำให้นาม-รูปเริ่มการทำงาน
จิตเห็นจิต ในทางวิปัสสนา จึงไม่ใช่การเห็นจิตเป็นดวง เป็นแสง เป็นมณี เป็นตัวเป็นตนแบบใดๆก็ตามที หรือหาว่าอยู่ที่ไหน อยู่อย่างไร แต่อย่างใดทั้งสิ้น, ในการปฏิบัติสมถะสมาธิอาจมีบางท่านบางครั้งใช้ไปเป็นอุบายวิธี ในการรวมจิตให้เป็นสมาธิ แต่ก็มีสั่งสมสั่งสอนกันจนหลงผิดไปกันอย่างแพร่หลาย จนเมื่อปฏิบัติก็พยายามหาจิต ซึ่งหาอีกกี่ภพกี่ชาติย่อมไม่เจอ ที่เจอก็คือของหลอกลวงที่นักปฏิบัติอุปโลกน์เองขึ้นมาโดยไม่รู้เท่านั้น, เป็นความเข้าใจที่ผิดที่มีการปฏิบัติกันแพร่หลายมาอย่างช้านาน (อ่าน จิตคืออะไร อยู่ที่ไหน)
อีกทั้ง"จิตเห็นจิต" อาจมีความหมายรวมถึงการมีสติเท่าทันในเวทนาอีกด้วย จึงครอบคลุมทั้ง เวทนา จิต(จิตสังขารหรือสังขารขันธ์) อีกทั้งมโนกรรมความคิด จึงขึ้นอยู่กับการจำแนกแตกธรรมของแต่ละท่าน เพราะเวทนาก็เป็นเจตสิกคืออาการอย่างหนึ่งของจิต ในเจตสิก ๕๒ เช่นกัน เพียงแต่ที่ไม่จัดว่าเป็นสังขารขันธ์นั้น เพราะว่าเวทนานั้นจัดเป็นขันธ์ๆหนึ่งแล้วคือเวทนาขันธ์นั่นเอง บางท่านจึงจัดเป็นจิตสังขารอีกอย่างหนึ่งก็ได้เช่นกัน
จิตเห็นคิด ก็คือจิตเห็นมโนกรรม(การกระทำทางใจคือความคิด)ใน"ชาติ" และ"ชรา" นั่นเอง จึงจัดว่าเป็นส่วนหนึ่งของจิต หรือ"จิตเห็นจิต"หรือ"สติเห็นจิต"ได้ด้วยเช่นกัน
นักปฏิบัติที่มักสงสัย จนเกิดวิจิกิจฉาว่า ทำไมจึงยังเกิด เวทนา ตัณหา และมโนกรรมอยู่ ปฏิบัติไม่ถูกต้องหรืออย่างไร? ดับมันไปไม่ได้เสียที ก็เนื่องด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น คือยังเกิดอยู่ มีอยู่ แต่มีสติ ปัญญา รู้เท่าทัน แล้วอุเบกขา จึงเกิดสิ่งที่เราเรียกกันว่าดับไป จากการปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นหมายมั่น ไม่พัวพัน ไม่ปรุงแต่ง หรือก็คือการอุเบกขา จึงทำให้ไม่เป็นเหตุให้เกิดการต่อเนื่องเป็นวงจร
การดับวงจรของทุกข์
วงจรปฏิจจสมุปบาท
แสดงเวทนา ตําแหน่งที่ควรรู้เท่าทัน ในการดับทุกข์ อีกทั้งที่องค์ "ตัณหา" "ชาติ" และ"ชรา" การดับไปนั้น หมายถึง ไม่เอา ไม่ยึดถือ ที่หมายถึง สติระลึกรู้เท่าทัน พร้อมทั้งปัญญา จึงไม่ยึดมั่นถือมั่นด้วยกิเลสตน คือปล่อยวาง หรืออุเบกขา คือสิ่งที่เรียกว่าดับไป ทำให้แม้ยังคงเกิดขึ้นตาม สภาวธรรม(ธรรมชาติ)แต่ไม่ไปเป็นเหตุปัจจัยให้ วงจรเกิดการดำเนินสืบเนื่องต่อไปจนเป็นทุกข์ นี้คือการดับไปที่แท้จริงถูกต้อง
|
สัญญาหมายรู้ สังขารขันธ์ [อันเป็นเพียงขันธ์๕ สภาวธรรมชาติ] แล้วถืออุเบกขา |
ขึ้นมาโดยธรรมชาติได้ อีกทั้งกิเลสจร อันมี รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อีกทั้งธรรมารมณ์ ที่จรมากระทบ เป็นเหตุปัจจัยจึงมี สังขาร สิ่งปรุงแต่ง อันย่อมเป็นสังขารกิเลส เพราะสังขารมีจึงเป็นเหตุปัจจัยจึงมี วิญญาณ หรือจิตหนึ่งขึ้นรับรู้ในสังขารนั้น เพราะวิญญาณมีจึงเป็นเหตุปัจจัยให้ นาม-รูป หรือชีวิตครบองค์ถูกเร้าตื่นตัวทำงาน จึงเป็นเหตุปัจจัยให้ อายตนะ ทั้งหลาย ตื่นตัวทำงานต่างๆตามหน้าที่ของตน จึงเป็นเหตุปัจจัยให้ครบองค์ ของการผัสสะ จึงเป็นเหตุปัจจัยจึงมี เวทนา........
|
จากการพิจารณาดังนี้ๆ อาจพอได้ข้อสรุปหลักปฏิบัติให้ได้ดังนี้
สติระลึกรู้เท่าทันตัวใดตัวหนึ่งดังที่จะกล่าวต่อไป ต่างล้วนดีงามทั้งสิ้น แม้เร็วบ้าง ช้าบ้าง เพราะล้วนเกิดจากสติ สมาธิ และสัมมาญาณ, ด้วยไม่ใช่ปล่อยให้ฟุ้งซ่าน ปรุงแต่งต่างๆจนดับไปเองด้วยอำนาจทุกขัง(ความทรงสภาพเดิมอยู่ไม่ได้)ในพระไตรลักษณ์, เมื่อสติระลึกรู้เท่าทันแล้ว ก็อุเบกขา คือวางเฉย ด้วยการไม่การปรุงแต่ง ก็เพื่อหยุดการเป็นเหตุปัจจัยไม่ให้เกิดการสืบเนื่องกันต่อไปจนวงจรของทุกข์เกิดการสืบเนื่องต่อไปได้ ด้วยปัญญาที่ทราบดียิ่ง
๑. มีสติ สมาธิ คือ มีสติระลึกรู้เท่าทัน โดยมีสมาธิคือตั้งใจอย่างแน่วแน่เป็นเครื่องหนุนหรือเสาหลัก ในการไม่ปรุงแต่งสังขารกิเลสขึ้น ที่ต้องประกอบด้วยปัญญาจากการพิจารณาโดยแจ่มแจ้ง(โยนิโสมนสิการ)แล้ว ด้วยรู้ดียิ่งว่าด้วยเหตุอันใดจึงต้องมีสติ สมาธิ ไม่ปรุงแต่งดังกล่าว และด้วยปัญญาอันรู้ดียิ่งว่า ย่อมเป็นเหตุปัจจัยให้เกิด วิญญาณ เป็นเหตุปัจจัยสืบเนื่องต่อไปอีกเป็นธรรมดาที่ไม่ธรรมดา หรือกล่าวสั้นๆได้ว่า มีสติและสมาธิอยู่กับกิจหรือการงานที่ทำ ไม่ส่งจิตออกไปฟุ้งซ่านปรุงแต่งหรือเมื่อกระทบกับอารมณ์ที่จรมานั่นเอง จึงไม่เป็นการเปิดโอกาสให้จิตเกิดสังขารกิเลสขึ้นนั่นเอง อีกทั้งการสำรวม สังวร ระวัง ในอารมณ์คืออายตนะภายนอกที่จรมากระทบ อันเป็นการเปิดโอกาสให้อาสวะกิเลสที่นอนเนื่องอยู่เป็นเหตุปัจจัยร่วมกับอวิชชาจึงมีสังขารกิเลสขึ้นนั่นเอง
๒. มีสติ สมาธิ คือ มีสติระลึกรู้เท่าทัน โดยมีสมาธิคือตั้งใจอย่างแน่วแน่เป็นเครื่องหนุนหรือเสาหลัก ในเวทนาที่เกิดขึ้น ที่ต้องประกอบด้วยปัญญาจากการพิจารณาโดยแจ่มแจ้งในเวทนาแล้วว่าด้วยเหตุอันใด แล้วประกอบด้วยการอุเบกขา คือไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่ปรุงแต่ง ด้วยปัญญาหยั่งรู้ดีว่า ย่อมเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดผลสืบเนื่องต่อไปจนเกิด"ตัณหา" จนเป็นทุกข์ในที่สุดนั่นเอง ที่ย่อมต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดาที่ไม่ธรรมดา
๓. มีสติ สมาธิ คือ มีสติระลึกรู้เท่าทัน โดยมีสมาธิคือตั้งใจอย่างแน่วแน่เป็นเครื่องหนุนหรือเสาหลัก ในจิต อันคือจิตสังขารต่างๆ ที่ย่อมหมายรวมทั้งตัณหา(โลภะ เช่นความอยาก ราคะ, โทสะ เช่นโมโห ขัดเคืองใจ,โมหะ เช่นความหลง เพราะความไม่รู้ เชื่อง่าย หูเบา ฯลฯ.) อีกทั้งมโนกรรมความคิดนึก(ปรุงแต่ง)ใน"ชาติ"ที่เกิดขึ้นจากตัณหา-อุปาทาน-ภพ, ที่ต้องประกอบด้วยปัญญาจากการพิจารณาโดยแจ่มแจ้งแล้วว่าด้วยเหตุอันใด แล้วประกอบด้วยการอุเบกขา คือไม่ยึดมั่นถือมั่น ปล่อยวาง ไม่ปรุงแต่ง ด้วยรู้แจ้งยิ่งว่า ย่อมเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดผลอื่นๆสืบเนื่องต่อไปเป็นธรรมดา ดังแสดงในวงจรปฏิจจสมุปบาท จนเป็น"อุปาทานขันธ์ ๕" อันเป็นทุกข์ ที่หมุนวนเวียนหนุนเนื่องอยู่ใน"ชรา"อันเร่าร้อนเผาลน
การดับวงจรของทุกข์ดังกล่าวข้างต้น จึงนับได้ว่าเป็นการปฏิบัติที่ถูกต้องดีงามทั้งสิ้น ไม่ว่าจะสติเท่าทันแบบใดก็ดี แม้ทั้งการมีสติระลึกรู้เท่าทันในองค์"ชรา"อันได้เสวยทุกข์ไปบ้างแล้ว เนื่องด้วยการดับไปนี้ประกอบด้วยการใช้ทั้ง สติ สมาธิ ปัญญา เพราะไม่ใช่การปล่อยให้วงจรของทุกข์หนุนหมุนเวียนไปเรื่อยๆ ให้สั่งสม และยาวนานฟุ้งซ่านพล่านไป จนดับไปเองเพียงด้วยธรรมนิยามคือ"ทุกขัง"คือการที่คงสภาพเดิมอยู่ไม่ได้ อันเป็นการหยุดที่เป็นไปเพียงตามสภาวธรรมคือเป็นไปตามกฏธรรมชาติคือพระไตรลักษณ์หรือธรรมนิยามเท่านั้น ไม่ได้เกิดจากการปฏิบัติที่ประกอบด้วยสติ สมาธิ และปัญญา จึงย่อมมีผลแตกต่างกับการปฏิบัติดังที่กล่าวมาข้างต้น เพราะจิตย่อมไม่เกิดการรู้เห็นความจริงขั้นสูงสุดต่างๆจากความเป็นเหตุปัจจัยอะไรๆอันเป็นปรมัตถ์ด้วยตัวตนเอง จึงเป็นการดำเนินไปแบบปุถุชนทั่วไป ย่อมทำให้ไม่เกิดความก้าวหน้าในการเจริญธรรม คือปัญญา อันเป็นกำลังสำคัญในการก้าวจนถึงวิมุตติ
ในองค์"ชรา"นั้นแม้เสวยทุกข์ไปบ้างแล้วเพราะล้วนประกอบด้วยอุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ แต่ถ้าเป็นการดับที่เกิดจากการปฏิบัติที่ใช้ทั้ง สติ สมาธิ และปัญญาดังกล่าว ไปรู้เท่าทันในเวทนาและจิตก็ดีงามถูกต้องเช่นกัน คือแม้เป็นการรู้เท่าทันในอุปาทานเวทนา และจิตที่เป็นอุปาทานสังขาร(สังขารูปาทานขันธ์)และมโนกรรม(ความนึกคิดต่างๆอันเป็นผลจากอุปาทานสังขารที่ปรุงจิตให้เกิดกรรม)แล้ว คือย่อมประกอบด้วยกิเลสจากอุปาทาน ที่วนเวียนปรุงแต่งอยู่ แต่เมื่อมีสติ,สมาธิ,ปัญญาเท่าทันก็ปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่นตามกิเลสชอบชังของตน คืออุเบกขา องค์ชราอันเร่าร้อนจึงเสื่อมดับไปเช่นกัน, อีกทั้งเกิดการสั่งสม อบรม จนสติ สมาธิ และปัญญา ให้แก่กล้าขึ้นไปเป็นลำดับ เพราะการรู้เห็นความจริงได้ด้วยตัวตนเองหรือปัจจัตตัง เพราะไม่ใช่การปล่อยให้ดับไปด้วยอาการทุกขัง(การคงสภาพอยู่ไม่ได้)ในพระไตรลักษณ์
การดับวงจรของทุกข์ให้ได้ผลนั้น เป็นการทำงานร่วมกันทั้งของ สติ สมาธิ และปัญญา กล่าวคือ สติและสมาธิทำหน้าที่จับในการรู้เท่าทัน ส่วนปัญญานั้นทำหน้าที่เป็นเครื่องดับ การดับความสิ้นไปแห่งเหตุปัจจัยนี้ ไม่ใช่การต้องไปไล่เรียงวงจรปฏิจจสมุปบาททุกคราไป แต่เป็นเพียงการอธิบายเพื่อให้เห็นความจริงของธรรมเท่านั้น เพื่อให้เกิดปัญญา และน้อมรับความจริงได้ดี จึงเป็นกำลังของปัญญาในการทำให้สิ้นแห่งปัจจัยทั้งหลาย ใช้การปฏิบัติในสติปัฏฐาน ๔ เป็นทางปฏิบัติ ที่ประกอบด้วยความเข้าใจดี(ปัญญา)ในธรรมใดเกิดแต่เหตุ เพือความสิ้นไปของปัจจัย จากปฏิจจสมุปบาทเป็นกำลังจากการรู้ความจริง
การปฏิบัติดังนี้จึงอาศัยการปฏิบัติในสติปัฏฐาน
๔ นั่นเอง คือ มีสติระลึกรู้เท่าทันเวทนา(เวทนานุปัสสนา)
และสติระลึกรู้เท่าทันจิต จิตที่หมายถึงจิตสังขารคือทั้งสังขารขันธ์อารมณ์ต่างๆเช่น
โทสะ โมหะ หดหู่ ฯ. และยังครอบคลุมถึงผลที่เกิดสืบเนื่องจากสังขารขันธ์ด้วยก็คือความคิดหรือมโนกรรมจึงเป็นจิตสังขารอย่างหนึ่งเช่นกัน
อันเป็นการปฏิบัติจิตตานุปัสสนานั่นเอง
(.........สังขารขันธ์
สัญเจตนา(เจตนา)
กรรม
มโนกรรม)
จิตเห็นจิต ถ้าเทียบเคียงกับขันธ์ ๕ ทั้งปฏิจจสมุปบาทแล้ว จิตแรกมีความหมายถึง"สติ" ส่วนจิตหลังมีความหมายถึง"จิตสังขาร"คือสังขารปรุงแต่งจากจิตทั้งปวง จึงไม่ใช่จิตที่หมายถึงวิญญาณ, ดังนั้นความหมายของจิตเห็นจิต คือการที่สติเห็นจิตสังขาร จิตสังขารซึ่งครอบคลุมได้ทั้ง เวทนา สังขารขันธ์(ตัณหาในปฏิจจสมุปบาท) และความคิด(มโนกรรม)ต่างๆ แล้วแต่การจำแนกแตกธรรมของแต่ละท่าน, แต่บางทีก็จำแนกแตกธรรมแยก"เวทนา"กับ"สังขารขันธ์และความคิด"กันเพื่อให้ชัดเจนยิ่งขึ้นก็มี จึงเรียกเป็น จิตเห็นเวทนาบ้าง และจิตเห็นจิต(สังขารขันธ์คือตัณหากับความคิด)บ้าง
จิตเห็นคิด ถ้าพิจารณาจากปฏิจจสมุปบาทแล้ว ก็คือ อาการที่"สติ"เห็นความคิด(มโนกรรม)ที่เกิดใน"ชาติ"และ"ชรา"นั่นเอง เมื่อเป็นอกุศลก็ ปล่อยวาง หยุดปรุงแต่ง อุเบกขาเสีย (จึงไม่ใช่การหยุดคิด หยุดนึกทั้งปวงโดยไม่มีปัญญา), แต่ถ้าเทียบเคียงกับกระบวนธรรมของขันธ์ ๕ แล้ว จิตเห็นคิด ก็คือการที่จิตเห็นมโนกรรม อันเป็นผลที่เกิดสืบเนื่องจากสังขารขันธ์นั่นเอง ดังภาพ
รูป |